ในเวทีสัมมนาการจัดการลุ่มน้ำปิงอย่างยั่งยืน วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ที่โรงแรมนวรัตน์ จ.กำแพงเพชร มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (ประเทศไทย) เครือข่ายลุ่มน้ำภาคเหนือ และเครือข่ายลุ่มน้ำปิง โดยการสนับสนุนจาก Oxfam (ประเทศไทย) มีการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาในลุ่มน้ำปิง ตั้งแต่ต้นน้ำในอ.เชียงดาว ถึงปลายน้ำ ในจ.นครสวรรค์
นายสุนทร เทียนแก้ว กรรมการลุ่มน้ำปิงตอนบน กล่าวว่า พื้นที่ป่าในลุ่มน้ำปิงตอนบนถูกคุกคามด้วยข้าวโพด ยางพารา ไม้เศรษฐกิจต่าง ๆ อีกทั้งมีโครงการพัฒนาที่จะเข้ามาในลุ่มน้ำปิงตอนบนหลายโครงการ เช่น กระเช้าไฟฟ้าขึ้นดอยหลวง อ่างเก็บน้ำปิงตอนบน โครงการผันน้ำกก ปิง จากความไม่เปิดเผยข้อมูลของโครงการที่ชัดเจน ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับโครงการพัฒนา ซึ่งเกิดจากความรู้สึกมากกว่าความรู้
ส่วนในพื้นที่ตอนล่างตั้งแต่จ.ตากถึงจ.นครสวรรค์ สภาพปัญหาที่พบคือ น้ำหลาก น้ำแล้ง อุทกภัย และภัยแล้งในชุมชนบริเวณเขื่อนภูมิพล ดินโคลนถล่มจากน้ำป่าไหลหลาก พื้นที่ป่าลดลง กลายเป็นพื้นที่ทำกินถึงร้อยละ 90 (ไร่ข้าวโพด กะหล่ำปลี) ทำให้ไม่มีต้นไม้ดูดซับน้ำ มีโครงการก่อสร้างเขื่อน มีการบุกรุก สร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นถนน โรงงานอุตสาหกรรม การสร้างฝายกั้นน้ำปิง เป็นเขื่อนหิน ทำให้เกิดปัญหาการใช้น้ำของชาวบ้าน ซึ่งไม่สอดคล้องกับลักษณะภูมินิเวศของแม่น้ำ
นอกจากนี้ นายตะวันฉาย หงษ์วิลัย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า โครงการสร้างเขื่อนแม่วงค์ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงค์ ไม่ตอบปัญหาการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม แต่จะทำลายระบบนิเวศ ที่อยู่ของสัตว์ป่า และแหล่งอาหาร ถ้าเขื่อนแม่วงค์สร้างได้ จะมีการสร้างเขื่อนในป่า ในเขตอุทยานฯ ทั่วประเทศ
ดร.วสันต์ จอมภักดี อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกรรมการลุ่มน้ำปิง ตั้งคำถามว่า งบ 350,000 ล้านบาท จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และมีประสิทธิภาพอย่างไร โดยดร.วสันต์เสนอว่า นโยบายการจัดการน้ำผ่านมาถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 จะต้องมีการถอดบทเรียน ในกรณีของการสร้างเขื่อนแม่กวง น้ำไม่เคยเต็มเขื่อน และไม่เพียงพอในการใช้ จึงมีการผันน้ำข้ามลุ่มมาแม่แตง ลงแม่งัด ต่อมาลงมาแม่กวง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาของการสร้างเขื่อนแม่กวงที่ผ่านมา ส่วนกรณีของการขุดลอกแม่น้ำปิงในจ.เชียงใหม่ จะทำให้น้ำไหลแรง หนองน้ำถูกทำลาย ถนนสะพานทรุด และไหลท่วมลำพูนในที่สุด การใช้เงินสามแสนห้าหมื่นล้าน จะเป็นใช้เงินที่สนองนโยบายที่ผิดพลาดของโครงการที่รัฐบาลทำมาก่อน
นายอนุชา เกตุเจริญ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร และกรรมการลุ่มน้ำปิง กล่าวถึงปัญหาการจัดการลุ่มน้ำปิงที่ผ่านมาว่า ความรู้ของหน่วยงานราชการ /แม้แต่กรรมการลุ่มน้ำในเรื่องการจัดการลุ่มน้ำยังไม่มี การทำงานของหน่วยงานราชการที่มีหลายฝ่าย หลายองค์กรขาดการบูรณาการกัน
นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา เครือข่ายลุ่มน้ำภาคเหนือ กล่าวถึงปัญหาการจัดการลุ่มน้ำในภาคเหนือที่ผ่านมาว่า ลำห้วย แม่น้ำทุกสายที่ผ่านมา ถูกขุดลอกโดยอปท. และหน่วยงานราชการ และกำลังจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยงบสามแสนห้าหมื่นล้าน ทำให้แม่น้ำแบนราบ ไม่มีสูง ต่ำ มีแต่ความลึก เป็นเหมือนคลองชลประทาน ทำให้ความหลากหลายของระบบนิเวศถูกทำลายหมดสิ้น
กำนันบุญจันทร์ วินไธสงค์ กรรมการลุ่มน้ำปิง จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวว่าการทำงานของภาครัฐที่ผ่านมา ภาคประชาชนจะไม่ทราบข้อมูล แต่ทราบเมื่อมีแผนงาน โครงการออกมาแล้ว ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่มีความยั่งยืน ภาคประชาชนเอง มีแผนงานตำบลหรือแผนจังหวัด ซึ่งคิดมาจากชุมชนมากมาย แต่ไม่ถูกนำไปปฏิบัติที่แท้จริง ดังนั้นแผนงานที่ออกมาของภาครัฐ จึงไม่ตอบรับกับสภาพปัญหาของท้องถิ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีสัมมนาดังกล่าว มีข้อเสนอในการจัดการลุ่มน้ำปิง ภายใต้งบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ดังนี้ 1.สร้างป่าให้ซับน้ำ เป็นเขื่อนที่มีชีวิต เพื่อดำรงวิถีชีวิตของผู้คน และการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.การแก้ไขปัญหาในลุ่มน้ำปิง ควรมีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความหลากหลายทางชีวภาพในลุ่มน้ำ 3.ให้มีกรรมการลุ่มน้ำสาขา และลุ่มน้ำย่อยที่มาจากภาคประชาชน โดยราชการเป็นฝ่ายหนุนเสริม 4.ให้หน่วยงานราชการ เรียนรู้ระบบลุ่มน้ำ วิถีชีวิต การประกอบอาชีพ การใช้น้ำ ฯลฯ เพื่อให้มีการจัดการน้ำที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ในแต่ละลุ่มน้ำ 5.ลดพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ และทบทวนนโยบายการปลูกพืชเศรษฐกิจ
6.สนับสนุนชุมชนในการมีส่วนร่วมในการจัดการป่า และการจัดตั้งกองทุนจัดการป่า 7.อนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำที่ถูกทำลาย เพื่อให้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ และแหล่งอาหารของชุมชน 8.ประยุกต์รูปแบบการจัดการน้ำแบบเหมืองฝาย กับการจัดการน้ำแบบสมัยใหม่ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 9.รัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน ทบทวนบทเรียนการจัดการน้ำที่ผ่านมา ไม่ทำลายระบบนิเวศตามธรรมชาติ วิถีชีวิตผู้คน และไม่เดินซ้ำทางเดิม
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ