35 วัน หลังมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรีชุด “ยิ่งลักษณ์ 2”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีบารมีในพรรคเพื่อไทย โฟนอิน-ข้ามทวีป ประกาศให้คนเสื้อแดงทั้งโลกได้รับรู้ว่า “ปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งหน้าตู่-จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช.ได้เป็นรัฐมนตรีแน่” (ทักษิณ โฟนอินชุมนุมเสื้อแดง เขาใหญ่โบนันซ่า 25 กุมภาพันธ์ 2555)
เป็นคำสัญญาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อหน้าคนเสื้อแดงทั้งขบวน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 8 เดือน การจัดโผคณะรัฐมนตรีใหม่ ภายใต้เพื่อไทยและพี่น้องชินวัตร 4 สาขา ทั้งสาขาพ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายบ้านจันทร์ส่องหล้า ของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ ก๊กวังบัวบานของเจ๊แดง-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และทีมงานส่วนตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
คำสัญญาก็ว่างเปล่า มีแต่เสียงจากปาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เอ่ยแต่เพียงว่า “จตุพร-อยู่ตรงไหนก็ทำงานเพื่อประชาชนได้”
เสียงปลอบประโลม “ตู่-จตุพร” จึงมีแต่เสียงจากคนเสื้อแดง 3 ก๊ก ทุกมหาสาขา ทั้งสาขาแดง-ปัญญาชน แดง-นปช. และแดง-ส.ส.เพื่อไทย
นายบุญเลิศ เรืองทิม แกนนำมวลชนแดง-นปช.ภาคเหนือ ปลุก-ปลอบ โดยกำนัล “พระพุทธรูปปางมารสะดุ้ง” ให้นายจตุพร ไว้บูชาแฝงความหมายทางการเมือง
ขณะที่นางสุวรรณ ไพบูลย์ คนเสื้อแดงพิษณุโลก ประโลมว่า “ดีแล้วที่นายจตุพรไม่รับตำแหน่ง ไม่ต้องไปกินเงินเดือนตำแหน่งพวกนี้ แต่ยินดีให้มากินเงินเดือนพี่น้องเสื้อแดงดีกว่า คุณตู่เปรียบเหมือนมังกร ควรได้ตำแหน่ง พวกเราเป็นนักรบ จึงอยากบอกให้พวกในห้องแอร์ได้รับรู้"
เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงสาขา ส.ส.เพื่อไทย จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ และแกนนำคนเสื้อแดง ที่ทั้งขู่-ทั้งปลอบว่า “ยังจำได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมายังคอนเสิร์ตคนเสื้อแดง บอกรอบหน้านายจตุพรได้เป็นรัฐมนตรีแน่นอน และคำพูดวันนั้นก็ถูกเผยแพร่ออกไปทั่ว เมื่อไม่มีชื่อนายจตุพร ก็เหมือนเกิดความเสียหาย เพราะคนเรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แม้การปรับครม.เป็นอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณ คนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย เป็นพวกเดียวกัน”
แกนนำพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์โครงสร้างอำนาจ ที่ไม่อาจให้นักรบชายแดนอย่าง “จตุพร” เข้าเมืองหลวงเป็นขุนพลในคณะรัฐมนตรี โดยใช้ทฤษฎี “สามก๊ก” ว่า “โจโฉเป็นผู้ที่มีนิสัยโหดเหี้ยมและทะเยอทยาน เจ้าเล่ห์เพทุบายในการวางแผน บางคนเกลียดโจโฉ แต่บางคนชอบโจโฉ ผูกใจคนเก่ง มีศิลปะในการเลือกใช้คนสูง บริหารจัดการเก่ง มีความเป็นผู้นำ” ดังนั้นแม้ไม่ให้ “จตุพร” เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ยังใช้งานการเมืองให้ “จตุพร” ปฏิบัติหน้าที่ได้
“นักรบชายแดน ก็ต้องรบที่ชายแดน ไม่ควรเข้าไปประจำการในเมืองหลวง อีกอย่าง ถึงอย่างไรคนเสื้อแดง และจตุพรก็ไม่มีทางเลือกอื่น ยังต้องอยู่ในขั้วฝ่ายเพื่อไทยต่อไป การไม่แต่งตั้งจตุพร ในแง่รัฐบาลจึงไม่มีอะไรเสีย มีแต่ได้”
เสียงของใคร จะวิเคราะห์อย่างไร ก็ไม่เหมือนอ่านจากปาก ฟังจากใจ ที่ “จตุพร” กลั่นออกมาบอก ผ่านศูนย์ข่าว TCIJ ใน 10 คำถาม ต่อไปนี้ มีทุกคำ ทุกบรรทัด แฝงนัยยะทางการเมือง รับประกันความร้อน ทุกตัวอักษร
1.ค้นพบเหตุผลด้วยตัวเองหรือไม่ ว่าเพราะอะไรสายคนเสื้อแดงจึงมี “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรมช.พาณิชย์ แต่ไม่มีชื่อ “จตุพร พรหมพันธุ์” เป็นรัฐมนตรีในยิ่งลักษณ์ 3
จตุพรกล่าวว่า “หากจะมีก็ความรู้สึกเล็ก ๆ ที่ค้นพบว่า พวกเรากับรัฐบาล ต้องมีพื้นที่ที่เป็นหัวใจของการต่อสู้ ให้เหลืออยู่บ้าง เพราะถ้าต่อสู้แล้วมีคดี มีตำหนิ เป็นบาดแผล เป็นอุปสรรค วันข้างหน้า จะหาคนมาร่วมต่อสู้กับพรรคยาก เพราะทุกคนก็ต้องหลบอยู่ในห้อง แล้วออกมายืนแถวหน้า รับรางวัล พวกนักรบ บาดเจ็บมีบาดแผล ต้องอยู่แถวหลัง ถือว่าจบแล้ว...คณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมาดี ที่ผมไม่เคยไปประกาศว่า จะมีตำแหน่ง ซึ่งถ้าประกาศแล้วไม่ได้เป็น ก็จะผิดหวัง แต่นี่ไม่ได้ประกาศว่าอยากจะเป็น จึงไม่รู้สึกผิดหวัง”
2.พ.ต.ท.ทักษิณ และพี่น้องชินวัตร และผู้มีบารมีในพรรค ไม่ต้องการให้มีนักรบไปเป็นนักบริหาร และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดสมัย 4 ปีของรัฐบาลเพื่อไทยใช่หรือไม่
“ผมไม่สนใจว่าเมื่อไหร่ จะได้เป็นรัฐมนตรี เพราะถึงที่สุดแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงการต่อสู้เพื่อประชาชน ต้องดำรงอยู่ ผมไม่แน่ใจว่า เป็นรัฐมนตรีแล้วจะสุขใจเท่ากับการเป็นนักต่อสู้กับประชาชน ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นหัวโขน หลายคนสวมแล้วก็เป็นทุกข์” จตุพรกล่าว
3.คนเสื้อแดง นปช.อธิบายการไม่ได้เป็นรัฐมนตรีของจตุพรว่า การเป็นนักรบเสื้อแดงมีเกียรติยศมากกว่าการเป็นรัฐมนตรี ถึงตอนนี้คิดอย่างนั้นหรือเปล่า
จตุพรกล่าวว่า “คนเสื้อแดงบอกจะลงขันกันให้เงินเดือนผมเท่ากับรัฐมนตรี และให้ถือว่าจตุพร เป็นรัฐมนตรีของคนเสื้อแดง และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องการไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องเล็กลง ตอนนี้ชีวิตมีทางเดียวคือต้องต่อสู้กับคนเสื้อแดง One-way เท่านั้น”
4.คนที่คุณก็รู้ว่าคือใคร ชื่อย่อ ส. ที่ปิดกั้นไม่ให้ชื่อจตุพรเป็นรัฐมนตรี ในโผสุดท้าย กลางดึกที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล คิดว่าทำไมเขาจึงคัดค้าน ต่อต้านชื่อจตุพร
แกนนำนปช.กล่าวว่า “เพราะระบบพรรคเราอ่อนแอ มีความกลัวเกินกว่าจะกล้าตัดสินใจ เมื่อความอ่อนแอบวกกับความกลัว แม้จะผ่านช่วงนี้ไปได้ แต่จะมีสภาพเหมือน “ทาสในเรือนเบี้ย” เขาจะจัดการวันไหนก็ได้ ใครจะปิดกั้นไม่ให้ผมเป็นรัฐมนตรีไม่สำคัญ สำคัญว่าวิธีการจัดโผ เป็นเรื่องหลักคิดของใครมากกว่า เพราะผมเป็นสัญลักษณ์ของการถูกกระทำต่อคนเสื้อแดง หากต้องการให้เสื้อแดงสะเทือนความรู้สึก ก็กระทำผ่านร่างของผม และทุกอย่างที่ทำกับผม ตอนนี้คนเสื้อแดงก็ชดเชยให้แล้ว”
5.แสดงว่าขณะนี้ฝ่ายคนเสื้อแดงในเพื่อไทย กับคนเสื้อแดงที่เป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คนละอุดมการณ์กันเสียแล้ว
จตุพรกล่าวว่า “หลักคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง คนเสื้อแดงรักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม เรื่องตำแหน่งเป็นเรื่องสมมุติ แต่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ทรยศต่อคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงก็ไม่ร่วมทางด้วย หัวใจสำคัญคือ กระบวนการคิดของประชาชน ไม่เหมือนกับกระบวนการคิดของนักการเมือง เขาเป็นนักสู้ประชาธิปไตย แม้ไม่มีเงินเท่ากับนักการเมือง”
6.คิดว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ 23 คน เป็นการปูนบำเหน็จใคร ถ้าไม่ใช่นักรบเสื้อแดง
“ขึ้นอยู่กับวิธีคิด ผมบอกได้แต่เพียงว่า การต่อสู้ระหว่างฝ่ายเสื้อแดง กับฝ่ายอำมาตย์และแนวร่วม ยังคงดำรงอยู่ จากนี้ไปจะระดมนักรบมาอย่างไร ถ้าเห็นว่านักรบน่ารังเกียจ ก็จะแวดล้อมไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัวเต็มไปหมด” จตุพรกล่าว
7.มองเข้าไปคนใกล้ตัวกุนซือของนายกรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล เป็นคนแบบไหนบ้าง
นายจตุพรแสดงความเห็นว่า “ผมยกตัวอย่างว่า ขณะนี้เสียงควบม้าของข้าศึกที่ดังกร็อบ ๆ ดังมาประชิดเมือง แต่คนในรัฐบาล ไม่เคยผ่านสนามรบ ยังคิดว่าเป็นเสียงปรบมือจากประชาชน แต่เมื่อกองกำลังม้าศึกมาประชิดเมืองมากขึ้น ก็จะมารายงานว่า อ้อ..เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ว่าจะโดนแบบนี้ ต่อเมื่อข้าศึกเข้ายึดเมืองได้ คนพวกนี้ก็จะเอาเจ้านายไปเก็บไว้ในตู้ลับ แล้วจะหามตู้ไปส่งให้ศัตรูในที่สุด”
ตัวอย่างเหตุการณ์นี้อธิบายได้ว่า การประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง และเห็นแนวทางในการจัดการบ้านเมือง
“ในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ขนาดมีตำนาน ‘จ๊อกกี้กับม้า’ ยังอยู่ไม่ได้”
(ช่วงก่อนรัฐประหาร พ.ศ.2549 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ทหารอาชีพ กับทหารมืออาชีพ” ให้กับนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สรุปความว่า รัฐบาลก็เหมือนกับจ็อกกี้ คือ เข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแลกำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดีขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดี หรือไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง)
“แต่นี่ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผชิญหน้าทั้งสนามม้า เหตุการณ์คราวนี้ใหญ่กว่าเรื่องม้ากับจ็อกกี้...ใหญ่กว่ามาก”
8.ประเมินการเมืองว่า การชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย จะใหญ่กว่าขบวนการล้มรัฐบาลไทยรักไทย ในช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จตุพรมองว่า “เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ยึดโยงกัน ร่วมกัน ระหว่างบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะขณะนี้มีคดีของนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม กำลังจะชี้ชัดว่าใครเป็นใคร พวกที่เสียประโยชน์ ถ้าปล่อยให้รัฐบาลนี้อยู่ครบเทอม ก็จะกระทบต่อการเลือกตั้งอีก 3 ปีข้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าเขาจะชนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเดิมพันครั้งนี้ มีแต่คนที่สมคบกันจะสมประโยชน์ ทุกพรรคในเมืองไทยระดมคนได้ทุกพรรค แตกต่างกันที่ถ้าประชาชนมาชุมนุมเพราะเงิน ไม่ต้องถึง 99 ศพ แค่ประทัดนัดเดียวดังขึ้นก็ต่างคนต่างไปแล้ว”
9.ประเมินฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะเดินเกมอย่างไร
“พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมย้อนรอย เหมือนคนเสื้อแดงทุกขั้นตอน เริ่มจากการเปิดสถานีโทรทัศน์ Blue sky TV จากนั้นเปิดเวทีปราศรัย “ผ่าความจริง” ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาจัดไปแล้ว 30 กว่าครั้ง แล้วตั้งโรงเรียนการเมือง เพราะฉะนั้นขณะนี้รัฐบาลมีศึกรอบทิศทาง และมีการเคลื่อนพลกันอย่างคึกคะนอง ขบวนที่สนามม้านางเลิ้งของ เสธ.อ้ายเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น” จตุรพรวิเคราะห์
10.ประเมินการเมืองทั้งกระดานอำนาจว่าอย่างไร
“ต้องประเมินทั้งองคาพยพ ด้วยการตั้งต้นจากสมติฐาน “ม้า+จ็อกกี้” ในยุคก่อนรัฐประหาร 2549 ขณะนั้นในที่สุดรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ เอาไม่อยู่ แต่ครั้งนี้มากันทั้งสนามม้า ถ้ารัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำ จะเสี่ยง เพลี่ยงพล้ำเหมือนในอดีต แต่ถ้าประเมินถูกก็จะไปต่อ และชนะได้” จตุพรกล่าว
ขอบคุณภาพจาก ไทยรัฐ กรุงเทพธุรกิจ มติชน Google
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ