โรงกลั่นน้ำมันบางจากไฟท่วม-ควันดำทั่วกรุงฯ
เมื่อเวลา 07.25 น. วันที่ 4 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงพระโขนง รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดและมีไฟลุกไหม้ในคลังน้ำมันบางจาก ถ.สุขุมวิท 64 หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดการจราจรบนเส้นทางที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้บริเวณใกล้กับหอกลั่นสูงหลายสิบเมตร ชาวบ้านกำลังแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอย่างอลหม่าน โดยชาวบ้านระบุว่า ก่อนเกิดเพลิงลุกไหม้ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวถึง 2 ครั้ง ก่อนจะมีไฟลุกขึ้นตามมา และมีควันสีดำพวยพุ่งขึ้นสูงท้องฟ้าจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า เพลิงที่ลุกไหม้เกิดขึ้นบริเวณท่อส่งน้ำมัน ไม่ใช่คลังเก็บน้ำมัน และมีปริมาณน้ำมันค้างในท่อเพียงเล็กน้อย คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงจะเผาไหม้ได้หมด โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพระโขนงและของโรงกลั่นบางจากได้ฉีดน้ำหล่อเลี้ยงในส่วนอื่นไว้แล้ว และยังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
แห่จอดรถถ่ายรูปโพสต์เฟซบุ๊ค-ทวิตเตอร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งปกติการจราจรติดขัดอยู่แล้วยิ่งติดขัดมากขึ้นไปอีก เนื่องจากมีประชาชนส่วนหนึ่งจอดรถบนทางด่วนบูรพาวิถี และทางด่วนสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นที่เกิดเหตุได้ เพื่อบันทึกภาพ เมื่อสอบถามทราบว่าจะนำไปโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค บางคนก็ส่งทวิตเตอร์เป็นการสอบถามกันตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ โดยส่วนใหญ่ระบุว่า กลัวเกิดอุบัติเหตุรถที่ขับมาข้างหลังชนเหมือนกัน แต่อยากได้ถ่ายภาพมากกว่า ประกอบกับเห็นรถคันอื่นจอดจึงจอดด้วย
แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯหอแยกน้ำมันก๊าดไฟไหม้
ต่อมาเวลา 09.16 น. บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) แจ้งกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เวลา 07.20 น. เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งบริษัทสันนิษฐานเบื้องต้นว่า หอแยกน้ำมันก๊าดในหน่วยกลั่นน้ำมันดิบติดไฟ ทั้งนี้ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ขณะนี้สามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการหยุดหน่วยกลั่น เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ และประเมินผลกระทบความเสียหายของอุปกรณ์ ซึ่งบริษัทฯจักรายงานให้ทราบต่อไป
อย่างไรก็ตามโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เคยเกิดระเบิดมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นเกิดจากท่อของอุปกรณ์ควบคุมในหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตา ทำให้เกิดติดไฟ แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
พ.ต.อ.มาโนช รัตนโชติ ผกก.พระโขนง เปิดเผยว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณท่อส่งน้ำมัน ซึ่่งมีระบบเซฟตี้อย่างดีหลายชั้น และมีการตัดวงจรการส่งน้้ำมันเป็นช่วง เพื่อไม่ให้น้ำมันเข้าไปยังคลังน้ำมันได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่วิศวกรช่างเทคนิคของโรงกลั่นสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และสามารถให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงนำรถเข้าไปดับเพลิงได้แล้ว จึงอยากให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตกใจ
‘สุขุมพันธุ์’ จี้ย้ายโรงกลั่น-คลังแสงพ้นกรุงเทพฯ
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่อาศัยในชุมชนใกล้โรงกลั่นน้ำมันบางจาก อาทิ หมู่บ้านรุ่งเรือง ชุมชนหน้าวัดบุญรอดธรรมาราม ว่า จากการประสานทางโรงกลั่นน้ำมันแจ้งว่า ควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่กทม.ยังให้เจ้าหน้าที่สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประจำจุดตามชุมชนต่างๆ ในบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุเพื่อเฝ้าระวัง โดยมอบให้สำนักอนามัยส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจคุณภาพอากาศในพื้นที่ และจัดทีมเข้าไปชุมชนเพื่อตรวจสุขภาพประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่พบปัญหาเรื่องอาการแสบตา แสบคอ และคลื่นไส้จากการสำลักควัน แต่ถึงขณะนี้สถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ในด้านการป้องกันภัย ในการให้ความสำคัญต่อการเร่งแจ้งเตือนชุมชนที่อยู่โดยรอบ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งของความล่าช้าอาจมาจากการประเมินสถานการณ์ต่ำไป ทำให้ชุมชนเกิดความตื่นตระหนก โดยหลังจากนี้กทม.จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพูดคุยความเป็นไปได้ ในการจะย้ายโรงกลั่นน้ำมันหรือคลังแสงอาวุธออกจากพื้นที่กทม. เนื่องจากพบว่า พื้นที่ที่มีการตั้งโรงงานดังกล่าว มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นมาก หากเกิดเหตุแล้วเกรงว่าผลกระทบจะสร้างความเสียหายในวงกว้าง อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเขตเร่งจัดทำบัญชีรายชื่อชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันหรือคลังแสง เพื่อจะได้เข้าช่วยเหลือได้อย่างทันทีหากเกิดเหตุเช่นกัน
คพ.ส่งทีมตรวจคุณภาพอากาศ-น้ำ
เวลา 11.20 น. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุ ได้มอบหมายให้ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมีของคพ. ลงพื้นที่ทันที พร้อมทั้งทีมตรวจอากาศ โดยให้นำรถโมบายตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ ไปเก็บมลพิษทางอากาศและบริเวณใกล้เคียงแล้ว เนื่องจากเป็นห่วงกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ (วีโอซี) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในคนโดยเฉพาะเบนซีนที่จะปนเปื้อนจากท่อกลั่นน้ำมัน และสารมลพิษจากการเผาไหม้ รวมทั้งทีมตรวจคุณภาพน้ำที่ต้องลงเก็บตัวอย่าง ว่ามีน้ำมันปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำสาธารณะ และลำน้ำบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุหรือไม่
“ขณะนี้คพ.มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักจัดการคุณภาพน้ำ และทีมกู้ภัยฉุกเฉินลงพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากแล้ว และจะตรวจวัดอากาศที่สามารถรายงานผลได้ว่า มีสารพิษตัวไหนที่เกินค่ามาตรฐานหรือไม่ ส่วนการอพยพคน ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการน่าจะมาจากความปลอดภัยจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ " นายวิเชียรกล่าว
พบประชาชนมีอาการตกใจ แสบตา-แสบคอ
เวลา 14.40 น. นางจิตติมา บวรสิน พยาบาลวิชาชีพ ศูนย์บริการสาธารณสุข 34 โพธิ์ศรี สำนักการอนามัย กรุงเทพมหานคร ในฐานะหัวหน้าทีมพยาบาล กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบสุขภาพประชาชน รอบโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ว่า จากการตรวจสอบไม่พบว่าสุขภาพประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่ยังมีอาการปกติ จะมีบางคนมีอาการตกใจบ้าง แต่พบว่าประชาชนในพื้นที่แฟลตทหารของกระทรวงกลาโหม มีอาการแสบตา แสบจมูก ขณะที่ผลกระทบในระยะยาว ยังเชื่อว่าในพื้นที่ยังมีความปลอดภัยพอสมควร เนื่องจากชุมชนยังอยู่ไกลกับพื้นที่โรงกลั่นน้ำมัน และที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับรายงานว่า ประชาชนในบริเวณนี้มีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันบางจากได้ให้ความรู้กับชุมชน โดยมีการซักซ้อมการแจ้งเตือนเป็นประจำ ทำให้เมื่อเกิดเหตุประชาชนก็รู้วิธีการเตรียมความพร้อม
“คนที่นี้อยู่กันมานานหลายสิบปี เรายังไม่เคยได้รับการร้องเรียนเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ ซึ่งระหว่างชุมชนที่อยู่ใกล้โรงกลั่นน้ำมัน กับชุมชนที่อยู้ใกล้นิคมอุตสาหกรรมสารเคมี ชุมชนที่อยู่ใกล้โรงงานสารเคมีจะมีความเสี่ยงผลกระทบมากกว่า” นางจิตติมากล่าว
กระทรวงอุตฯสั่งปิดโรงกลั่น 30 วัน
ทางด้าน ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เบื้องต้นจะออกคำสั่งให้ปิดโรงกลั่นบางจากเป็นเวลา 30 วัน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย และสาเหตุที่เกิดขึ้น และจากกรณีดังกล่าวอาจทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ย้ายไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งนี่เป็นแผนในอนาคต
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) แถลงยืนยันว่า โรงกลั่นมีความเข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยอยู่แล้ว และยังไม่มีการพิจารณาย้ายไปอยู่ที่อื่นแน่นอน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ประเมินความเสียหาย
สมาคมต้านโลกร้อนจี้ย้ายโรงกลั่นบางจากพ้นกรุงฯ
ขณะที่ในช่วงบ่าย นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์กรณีเหตุเพลิงไหม้ในคลังน้ำมันบางจากว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมิใช่เป็นครั้งแรก ที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นแห่งนี้ หากแต่เป็นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งเป็นที่หวาดผวาของชาวชุมชนโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงกลั่นกระทรวงพลังงาน และรัฐบาล ก็มิได้แสดงความรับผิดชอบ บริหารจัดการ หรือเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยใดๆ ในแต่ละกรณีที่ผ่านมาเลย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด ล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความผิดพลาดล้มเหลว ในการอนุญาตให้มีโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าว ตั้งขึ้นมาได้ในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อราวปี พ.ศ.2500
โรงกลั่นน้ำมันเปรียบเสมือนคลังแสงทางสรรพวุธมหึมา ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง กลางพื้นที่ชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นโดยรอบนับล้านคน เป็นการสร้างความเสี่ยงและความไม่ปลอดภัยให้กับคนเมือง โดยไม่จำเป็น ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งโรงกลั่นดังกล่าว นอกจากจะมีวัตถุดิบน้ำมันดิบที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการกลั่นให้ได้น้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันอื่น ๆ ซึ่งเป็นวัตถุไวไฟในปริมาณกว่า 120,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว ยังมีวัตถุไวไฟอื่นอีกมากมาย เช่น น้ำมันเครื่องบิน ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา และยางมะตอย ที่พร้อมจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดี หากเกิดการระเบิดหรือการวินาศกรรม
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจะต้องหยิบยก กรณีที่เกิดการระเบิดหรือไฟไหม้บ่อยครั้งในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากมาพิจารณา ทบทวนและออกมาตรการไล่รื้อ ให้โรงกลั่นน้ำมันดังกล่าว ย้ายฐานการกลั่นออกไปอยู่ในพื้นที่นอกเมือง หรือพื้นที่ที่เหมาะสมที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนได้แล้ว ทั้งนี้จะไม่กระทบต่ออุปทานของการกลั่นน้ำมันและราคา เนื่องจากประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันมากกว่า 7 โรงกลั่นอยู่แล้ว ทั้งนี้หากกระทรวงพลังงานและรัฐบาลเพิกเฉย หรือไม่มีแผนหรือมาตรการไล่รื้อหรือโยกย้ายโรงกลั่นดังกล่าวออกมา สมาคมฯจะได้ร่วมมือกับชาวกรุงเทพมหานครที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย หรือหวาดผวากับเหตุการณ์ไฟไหม้หรือโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวระเบิด จะนำกรณีดังกล่าวไปพึ่งอำนาจศาล เพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาตและไล่รื้อโรงกลั่นดังกล่าวออกไปจากพื้นที่กรุงเทพฯต่อไป เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนกรุงเทพฯโดยรวมต่อไป คนกรุงเทพฯไม่ควรจะทนอยู่ในสภาพความเสี่ยง และความหวาดผวากับคลังแสงทางน้ำมันที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้อีกต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ