‘คณิต’ ยันคอป.ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ต้องการทำความจริงให้ปรากฎ

8 ก.พ. 2555


 

ข้อเสนอของของคอป.ถูกฝ่ายการเมืองนำไปใช้ในหลายประเด็น เช่น การแยกขังผู้ต้องหากลุ่มนปช.หรือกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 หรือแม้แต่กรณีของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่ถูกถามหามาตรฐานหลังจากได้รับการประกันตัวออกไป

 

เป็นหน้าที่ของสื่อที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบรัฐบาลว่ารัฐบาลเอา เจตนารมณ์ของคอป.ตรงประเด็นหรือไม่ เพราะข้อเสนอของคอป.เราทำงานโดยรับผิดชอบต่อประชาชน หรือ Public Accountability ผมถูกกล่าวหาว่าไปช่วยเสื้อแดงทั้ง ๆ ที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่มีครั้งหนึ่งที่ศาลมีหมายเรียกให้ไปให้ข้อคิดเห็นในการประกันตัวนปช. ในต่างจังหวัด  ซึ่งเป็นครั้งเดียวแล้วผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวใดๆ อีกเลย  ผมอยากให้สังคมแยกให้ออกระหว่างผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีกับผู้ต้องเด็ด ขาด ต้องเข้าใจว่าผู้ต้องขังที่จะถูกย้ายมาควบคุมตัวในเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ไม่ใช่ผู้ต้องขังเด็ดขาด และไม่ได้เป็นนักโทษการเมือง เพราะขณะนี้ประเทศไทยไม่มีนักโทษคดีการเมือง

 

เราเคยมีนักโทษการเมืองกลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มนักโทษที่ถูกย้ายไปควบคุมตัวที่เกาะตะรุเตา แต่ผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวยังเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ของตำรวจ  ดีเอสไอ และอัยการ  หากเห็นสมควรควบคุมตัวไว้ก็ต้องขอให้ศาลออกหมายขังระหว่างการพิจารณาคดี

 

หากปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหา เช่น นายอริสมันต์ได้รับการปล่อยตัวมาทั้งๆ ที่โดนคดีเดียวกับผู้ที่เคยถูกจำคุกไปแล้ว จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองได้จริงหรือ

 

เราต้องมีความหวังในเรื่องการปรองดอง และผมก็หวังว่าประเทศไทยจะเกิดความสงบ ปรองดองกันได้  ไม่ใช่คอป.เพียงฝ่ายเดียวที่จะทำ แต่ทุกภาคส่วนในประเทศต้องร่วมกันทำงานและที่ผ่านมาคอป.ก็ได้รับการตอบสนอง ที่ดี  รวมถึงความสนับสนุนจากต่างประเทศและประชาคม ซึ่งในหลายประเทศที่เคยมีปัญหาก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากยูเอ็นดีพี (UNDP-สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ) ให้เข้ามาแนะนำช่วยเหลือ ผมเคยพูดหลายครั้งว่าในสังคมมีความเห็นแตกต่างกัน แต่ไม่ควรจะมาทำร้ายกันให้เกิดความรุนแรง  จากการศึกษาวิเคราะห์ของผมกระบวนการยุติธรรมของไทยมี 3 แย่ คือ ประสิทธิภาพแย่  ถูกคุกคามสิทธิเยอะ และกระบวนการยุติธรรมมีราคาแพง ค่าใช้จ่ายสูง

 

จะแก้ปัญหาได้อย่างไร  เพราะแม้คอป.จะมีข้อเสนอออกมาแต่สังคมกลับใช้ความรู้สึกตัดสินมากกว่าเหตุผล

 

นี่คือปัญหาที่สังคมไทยใช้ความรู้สึกตัดสิน  ประสาทการรับฟังดับ  ไม่มีการรับฟังเหตุผล  สิ่งที่คอป.เสนอแนะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะยุครัฐบาลอภิสิทธิ์  หรือรัฐบาลปัจจุบันเป็นหลักทางวิชาการเท่านั้น  การทำงานของคอป.มีความอิสระและโปร่งใสพอ  เช่น เรื่องการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐจะต้องพิจารณา 3 ประเด็น คือ ต้องตอบให้ได้ว่ามีความจำเป็นหรือไม่  หากจำเป็นก็ต้องเอาตัวไว้ ปล่อยไปไม่ได้  และที่ผ่านมาการเอาตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในอำนาจรัฐ เราต้องพิจารณาดูว่าเค้ามีมูลเหตุให้หลบหนีหรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วเขาไม่หลบหนี ต้องถามว่าจะเอาตัวเค้าไว้ทำไม  มีความพยายามไปยุ่งเหยิงกับพยานหรือข่มขู่พยานหรือไม่ รวมถึงจะเข้าไปก่ออันตรายทำผิดซ้ำหรือไม่ ต้องแยกให้ได้  แต่ถ้ามั่นใจว่าเขาไม่เข้าข่ายมีพฤติกรรมในประเด็นข้างต้นก็ต้องให้ปล่อยตัว ไป

 

และการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิ่งที่คอป.เสนอมาตลอด เพราะเห็นว่าเหตุมาจากการใช้กฎหมายไม่ถูกต้อง หากทำทุกอย่างให้เข้าระบบก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างได้ ข้อเสนอคอป.ไม่ได้ระบุว่าต้องทำเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ควรมีการปฎิรูประบบยุติธรรมทั่วประเทศ มีประโยชน์อะไรถ้าเอาคนมาอยู่ในอำนาจรัฐในระหว่างที่ยังไม่มีการตัดสินคดี เพราะเขายังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา และขณะนี้นักโทษที่มีอยู่มันล้นเกินความสามารถที่เรือนจำแต่ละแห่งจะรองรับ ได้แล้ว

 

ผมเองก็ถูกมองว่าเป็นแดง  ก็อยากจะถามว่าแล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย ผมเพียงแต่ทำความถูกต้องให้ปรากฏแล้วให้คนอื่นที่มีหน้าที่ไปพิจารณาต่อ  หากเรายังไม่สามารถปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้  ต่อไปประเทศจะเกิดความรุนแรง  การใช้กระบวนการยุติธรรมจึงต้องระวัง ไม่เช่นนั้นกระบวนการยุติธรรมของไทยจะล้าหลังที่สุดในเอเชีย 

 

มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมบ้านเราจะล้าหลังที่สุดในเอเชีย

 

ถ้าเราดูในเอเชีย ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะเห็นได้ว่านักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นก็ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการ ยุติธรรม บางคนทนอับอายไม่ได้ต้องฆ่าตัวตายหนีความผิด ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่นักการเมืองไทย เคยเห็นนักการเมืองไทยคนไหนบ้างทำผิดแล้วไม่หนี  ส่วนใหญ่จะหนีไปต่างประเทศอย่างเดียว คือ ประชาชนของเขาทำความผิดแล้วมีความละลายต่อสิ่งที่กระทำ กระบวนการยุติธรรมของเขาก็เข้มแข็ง ไม่ต้องจ่ายแพง ญี่ปุ่น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจน้อย อัยการน้อย ศาลน้อยกว่าเราเยอะมาก ขณะที่ประชากรของเขามากกว่าเรา แต่เรามีค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมเยอะมาก คนเลยไม่ละอาย 

 

ผมเคยพูดอยู่เสมอว่าคนในกระบวนการยุติธรรมของไทยมีพฤติกรรมที่น่า รังเกียจ 3 ประการ คือทำงานตามสบายไม่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง  กลัวผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น และชอบประจบทั้งฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวต้องได้รับการแก้ไข ไม่เช่นนั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้กระบวนการยุติธรรมของเราล้าหลัง แล้วก็จะนำไปสู่เหตุขัดแย้ง ซึ่งผมก็ยังมองโลกในแง่ดี ไอยากให้เกิดความขัดแย้ง  แต่หวังว่าความปรองดองจะเกิดขึ้น เห็นได้จากการตื่นตัวของหลายฝ่าย เช่น ภาคธุรกิจที่ออกมาเคลื่อนไหว  มีการจัดตั้งกลุ่มต่อต้านการคอร์รัปชั่น

 

ขอบคุณภาพจาก www.bangkok biznews.com/

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: