น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่สังคมกำลังแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในกรณีการฟ้องร้องการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz เพื่อเปิดให้บริการ 3 G ว่า เข้าใจได้ว่า คนไทยต้องการใช้บริการนี้มาก และอยากให้บริการนี้เกิดขึ้นในประเทศได้แล้ว อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่ต้องพูดก็คือ ผลของการประมูลในครั้งนี้เป็นสิ่งที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้ทำความเห็นให้กับ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) เพื่อพิจารณาแล้วตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อความตอนหนึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนว่า การประมูลในรูปแบบนี้จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการฮั้วกัน โดยแบ่งคลื่นความถี่กันไปรายละ 15 MHz ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการให้บริการนั้นมีความเป็นไปได้สูง และส่งผลให้ราคาประมูลเท่ากับมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แต่ละชุด (reserve price)
“เราติดตาม เราให้ความเห็น เราเตือนแล้ว โดยทำทุกอย่างเพื่อให้ความเห็นไปถึง กทค.และไม่ใช่ว่า กลุ่มองค์กรต่างๆ หรือนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต้องการขวางการประมูลครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายพยายามบอกและพยายามพูดให้ฟังมาตลอด ตั้งแต่การจัดเวทีประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม และทำความเห็นเสนอให้อีกในเดือนเดียวกัน เราให้ความเห็นทั้งในเวทีและทำเป็นหนังสือจากอนุกรรมการฯ แต่สิ่งที่ถูกพิจารณาในการแก้ไขร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์การประมูลนั้น มีเพียงคำร้องขอของผู้ให้บริการเท่านั้น นั่นคือขอให้มีการจัดแบ่งคลื่นในการประมูลเป็น 15 MHz” น.ส.สารีกล่าว
น.ส.สารีกล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการในการควบคุมราคานั้น คณะอนุกรรมการฯ ได้ทำหนังสือไปเพื่อพิจารณาแล้วเช่นกัน เนื่องจาก สำนักงาน กสทช.ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง (ประเภท 1) รวมถึงผู้ให้บริการข้อมูล (Data Provider) เนื่องจากบริการ 3G เป็นบริการที่เน้นการให้บริการข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลด้วยการไปตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเป็นผู้ถือใบอนุญาตประเภท 1 และให้บริการข้อมูลเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถกำกับดูแลราคาบริการ 3 G ได้ ยกเว้น กสทช.จะยกเลิกข้อยกเว้นในการกำกับดูแลดังกล่าว
“มาตรการกำหนดราคาค่าบริการนั้น ขอให้ กทค. มีความจริงใจมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่ผู้บริโภครอคอยคือ ค่าบริการดาต้าที่มีราคาถูกลง ไม่ใช่ค่าบริการเสียง อีกทั้งยังมีประเด็นทางข้อกฎหมายว่า กทค.สามารถกำกับดูแลค่าบริการได้จริงหรือไม่ กรณีที่ผู้ให้บริการตั้งบริษัทลูกขึ้นมารองรับ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมูลค่าการประมูลในครั้งนี้ที่ต่ำมาก กทค.จึงควรกำหนดตั้งเป้าหมายให้ 3 G ไทยมีราคาค่าบริการถูกที่สุดในอาเซียน” น.ส.สารีกล่าว
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 สำนักงาน กสทช. ได้จัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 2.1 GHz โดยในการประชุม มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งมีการให้ความเห็นและตั้งข้อสังเกตในประเด็นสำคัญ อาทิ ผู้ขอรับอนุญาตแต่ละรายมีสิทธิยื่นประมูลคลื่นความถี่ได้สูงสุดไม่เกิน 4 ชุด หรือ 2x20 เมกะเฮิรตซ์, ราคาเริ่มต้นการประมูล, การใช้โครงข่ายร่วมกันและขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมในระดับอำเภอ รวมถึงการวางมาตรการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความชัดเจน
ต่อมาวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม ได้ทำหนังสือเสนอความเห็นไปยัง กทค.โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.คณะอนุกรรมการฯ สนับสนุนให้ กทค. เพิ่มมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แต่ละชุด (reserve price) จากที่กำหนดไว้ชุดละ 4,500 ล้านบาท เนื่องจากราคาประมูลที่ตั้งไว้นี้ หากผู้เข้าร่วมประมูลได้ความถี่ 15 เมกะเฮิรตซ์ซึ่งเพียงพอสำหรับการให้บริการ 3 G ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องจ่ายในราคา 13,500 ล้านบาทต่อระยะเวลาใช้งาน 15 ปี หรือคิดเป็นเงินที่ผู้ประมูลต้องจ่ายปีละ 900 ล้านบาท ซึ่งถือว่า ยังน้อยกว่าราคาที่ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายผู้ครองตลาดในปัจจุบันต้องจ่ายให้แก่รัฐจำนวน 40,000 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ สำนักงาน กสทช.ได้ว่าจ้างให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาเรื่องราคาเริ่มต้นของการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz และผู้วิจัยได้เสนอราคาเริ่มต้นไว้ที่ชุดละ 6,440 ล้านบาท แต่ในที่สุด กทค.ได้กำหนดตัวเลขสุดท้ายไว้ที่ราคาชุดละ 4,500 ล้านบาท โดยคณะกรรมการอ้างว่า ต้องการส่งเสริมธุรกิจโทรคมนาคม ทั้งที่ในความเป็นจริง ราคาประมูลคือกำไรที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการนำคลื่นความถี่ไปใช้ มิใช่ต้นทุนของผู้ประกอบการ การอ้างเช่นนั้นจึงไม่สมเหตุสมผล และเป็นการกำหนดราคาตามอำเภอใจ นอกจากนี้โอกาสที่ผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีการฮั้วกัน โดยแบ่งคลื่นความถี่กันไปรายละ 15 MHz ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการให้บริการก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง และจะส่งผลให้ราคาประมูลเท่ากับมูลค่าขั้นต่ำของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แต่ละชุด (Reserve Price)
ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ จึงขอให้ กทค. ทบทวนราคาเริ่มต้นของการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz โดยให้ยึดผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผลประโยชน์ของรัฐเป็นหลัก
2.ด้านมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครองผู้บริโภค ตามข้อ 16.8 ซึ่งประกอบด้วย แผนความรับผิดชอบต่อสังคม แผนการคุ้มครองผู้บริโภค การจัดให้มีบริการโทรคมนาคมสาธารณะ และบริการอำนวยความสะดวกในการใช้บริการโทรคมนาคมสาธารณะอย่างทั่วถึงแก่ผู้มีรายได้น้อย คนพิการ เด็ก คนชรา ผู้อยู่ห่างไกล และผู้ด้อยโอกาส การมิให้ผู้ใดใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของผู้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจโดยมิชอบนั้น อนุกรรมการฯ เห็นว่า กทค.ควรมีมาตรการในการลงโทษ เช่น มาตรการเรียกค่าปรับ มาตรการเชิงสังคม เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ผู้รับใบอนุญาตให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง และขอเสนอให้ กทค. เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากประชาชนทั่วไปและองค์กรเครือข่ายผู้บริโภค เมื่อมีการกำหนดมาตรการเพื่อสังคมและคุ้มครองผู้บริโภค
3.การจัดให้มีโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อการประกอบกิจการ ตามข้อ 16.3 ซึ่งกำหนดขอบเขตการให้บริการครอบคลุมเพียงในระดับจังหวัดนั้น คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า ควรกำหนดให้มีการกระจายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมถึงในระดับอำเภอ เพื่อให้สอดคล้องวัตถุประสงค์ของการบริหารคลื่นความถี่ และการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐและประโยชน์สาธารณะอื่น ส่วนประเด็นที่เป็นข้อกังวลอีกประการหนึ่ง คือขีดความสามารถของสำนักงาน กสทช.ในการติดตามการติดตั้งโครงข่ายว่าเป็นไปตามเป้าหรือไม่ เช่น ร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรภายใน 2 ปี และร้อยละ 80 ของจำนวนประชากรภายใน 4 ปี คณะอนุกรรมการฯ จึงขอเสนอให้ กทค.กำหนดมาตรการในการติดตามการติดตั้งโครงข่ายอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สำนักงาน กสทช.นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
4.เนื่องจากสำนักงาน กสทช.ไม่มีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง (ประเภท 1) รวมถึงผู้ให้บริการข้อมูล (Data Provider) เนื่องจากบริการ 3 G เป็นบริการที่เน้นการให้บริการข้อมูลเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลด้วยการไปตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเป็นผู้ถือใบอนุญาตประเภท 1 และให้บริการข้อมูลเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถกำกับดูแลราคาบริการ 3 G ได้ ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่า กสทช.ควรยกเลิกข้อยกเว้นในการกำกับดูแลดังกล่าว
5.ขอให้ กทค.มีแนวทางในการให้ข้อมูลกับผู้บริโภคเกี่ยวการให้บริการ 3 G เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเท่าทัน และสามารถใช้บริการได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ