จี้กรมวิชาการเกษตรเลิกใช้สารเคมี4ชนิด พบพิษปนเปื้อน'ข้าว-ผัก'ให้คนไทยกินอื้อ ขู่ร้องป.ป.ช.สอบทรัพย์สินขรก.โยงบริษัท

ทีมข่าวศูนย์ข่าว TCIJ 11 ส.ค. 2555 | อ่านแล้ว 2640 ครั้ง

ตัวแทนจากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ประเทศไทย และกลุ่มผู้บริโภค กว่า 50 คน รวมตัวกันหน้าอาคารในกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจัดประชุมรับฟังข้อคิดเห็น เกี่ยวกับการจัดทำหลักเกณฑ์การประเมินความเป็นอันตราย และผลกระทบภายหลังการใช้เพื่อเสนอห้ามใช้หรือจำกัดการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยกรมวิชาการเกษตร ได้เชิญตัวแทนจากหน่วยราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนบริษัทค้าเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น FMC ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ฟูราดาน (คาร์โบฟูราน) ดูปองท์ เจ้าของแลนเนต (เมโธมิล) ตัวแทนจากกลุ่มเกษตรกร นักวิชาการ และตัวแทนภาคประชาสังคม ร่วมระดมความเห็นจัดทำ “ร่างหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อห้ามหรือจำกัดการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จี้เลิกใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง 4 ชนิด กับผักเมืองไทย

 

 

โดยเครือข่ายเกษตรกรและกลุ่มผู้บริโภค เรียกร้องให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบกระบวนการขึ้นทะเบียน ดำเนินการเพื่อมิให้มี การผลิต นำเข้า และจำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรง 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น เพื่อคุ้มครองสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ที่ได้รับพิษภัยจากสารเคมีดังกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมตัวแทนกรมการข้าวได้อภิปรายสนับสนุนเครือข่ายเกษตรทางเลือกและกลุ่มผู้บริโภคที่เสนอให้กรมวิชาการเกษตร เปิดโอกาสให้หน่วยงานอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และพิจารณาการขึ้นทะเบียน และการยกเลิกสารเคมีอันตรายทางการเกษตร พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมากรมการข้าวไม่ได้ถูกเชิญให้มาร่วมในกระบวนการดังกล่าวเลย ทั้งที่กรมการข้าวได้มีการศึกษาผลกระทบของคาร์โบฟูราน และสารเคมีตัวอื่นๆ ต่อนาข้าว โดยเฉพาะคาร์โบฟูราน ทางกรมการข้าวไม่แนะนำให้ใช้ในนาข้าวมานานแล้ว

 

 

โยนบาปให้เกษตรกร อ้างใช้ผิดวิธีจึงตกค้าง

 

 

นายนพดล มั่นศักดิ์ ตัวแทนเครือข่ายโรงเรียนชาวนาจ.นครสวรรค์ กล่าวว่า บริษัทและกรมวิชาการเกษตร พยายามออกมาแก้ต่างว่า การที่มีการตกค้างปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักที่เรากินกันทุกวันอย่างที่ตรวจพบล่าสุด เป็นเพราะเกษตรกรใช้ผิดวิธี เป็นการปัดความรับผิดชอบอย่างน่าละอาย ขณะที่หน่วยงานที่รับผิดชอบ ปล่อยให้มีการขายสารเคมีอันตรายโดยไม่มีการควบคุม บริษัทก็ส่งเสริมการขายแบบครึกโครมไม่มีข้อจำกัดใด ๆ เมื่อมีเรื่องขึ้นมาก็มาโทษเกษตรกรแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่การจะควบคุมสารเคมีอันตรายในอาหารที่ได้ผลที่สุดคือ การควบคุมที่ต้นทาง ตัวไหนเป็นอันตรายร้ายแรงมาก ๆ มีการใช้อย่างกว้างขวางควรยกเลิก หรือห้ามไม่ให้มีการใช้

 

 

 

นายอุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กล่าวว่า ผู้บริหารบางคนในกระทรวงเกษตรฯ และบรรษัทสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ร่ำรวยจากการค้าสารพิษ โยนบาปให้แก่เกษตรกรว่าเป็นจำเลยของปัญหานี้ แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอย่างที่ควรจะเป็น ทางเครือข่ายจะจับตา และติดตามกระบวนการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชครั้งนี้อย่างใกล้ชิด หากกรมวิชาการเกษตรยังคงยืนยันให้มีการขึ้นทะเบียน หรือมิได้มีการดำเนินการให้มีการประกาศห้ามใช้สารพิษ 4 ชนิดข้างต้น เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกทั่วประเทศ จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพื่อเปิดโปงให้สาธารณชนให้รับทราบความจริง และดำเนินการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันปละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบทรัพย์สิน และการทุจริตของข้าราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

 

ฮึ่มถ้ายังดันทุรังให้ใช้ต่อก็จะเคลื่อนไหวใหญ่

 

 

นอกจากนี้เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกประเทศไทย และกลุ่มผู้บริโภค ยังออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกการขึ้นทะเบียนและแบนสารพิษร้ายแรง 4 ชนิดทันที โดยไม่มีเงื่อนไข ว่า เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ซึ่งมีตัวแทนมาจากทุกภาคของประเทศ ขอเรียกร้องให้กรมวิชาการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อการรับขึ้นทะเบียน  และเป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อการนำเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้ห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่เป็นอันตรายร้ายแรงดำเนินการเพื่อมิให้มี การผลิต นำเข้า และจำหน่ายสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็นโดยทันที เพื่อคุ้มครองสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภคที่ได้รับพิษภัยจากสารเคมีดังกล่าว

 

ขณะนี้สถานการณ์ปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย อยู่ในขั้นเลวร้าย เกินจะยอมรับได้แล้ว ดังผลการตรวจสอบผักของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ที่พบว่า ผักซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับการบริโภคของประชาชน 7 ชนิด มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานถึง 40 % ไม่ว่าจะเป็นผักที่ขายอยู่ในห้างขนาดใหญ่ ตลาดสดทั่วไป ตลอดจนรถเร่ ในจำนวนนั้นเป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชร้ายแรง 4 ชนิดที่หลายประเทศทั่วโลกห้ามใช้แล้วรวมอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคทุกกลุ่มกำลังตายผ่อนส่งจากปัญหาการควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เกษตรกรประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ พบสารพิษตกค้างในเลือด

 

 

เกษตรกรทั่วประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตก็มีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน เพราะผลการตรวจเลือดของกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดเผยให้เห็นว่าเกษตรกรไทย ประมาณ 40 % มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเลือดในระดับที่เสี่ยงและไม่ปลอดภัย นี่คือมูลเหตุสำคัญของคนที่ญาติพี่น้องและเพื่อนรอบข้างของเราต้องตายและทุกข์ ทรมานด้วยโรคมะเร็ง โดยไม่นับโรคและปัญหาอื่นๆที่เกิดจากสารพิษเหล่านี้

 

ผู้บริหารบางคนในกระทรวงเกษตรฯ และบรรษัทสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ร่ำรวยจากการค้าสารพิษโยนบาปให้แก่เกษตรกรว่า เป็นจำเลยของปัญหานี้ แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออำนาจตัดสินใจในการยื่นขอทะเบียน อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียน และกำหนดให้ยกเลิกการใช้อยู่ในมือของตน หาใช่เกษตรกรและผู้บริโภคไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะประธานคณะทำงานการขึ้นทะเบียน และผู้รับผิดชอบหลักในการเสนอให้มีการห้ามใช้สารพิษอันตรายร้ายแรงยังคงอนุญาต ให้มีการแพร่กระจายสารพิษร้ายแรง 4 ชนิดดังกล่าวในประเทศไทย เพราะขณะนี้ ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น ถูกห้ามใช้แล้วในหลายประเทศทั่วโลก เมโทมิล ของบริษัทดูปองท์ ถูกห้ามใช้แล้วในยุโรปหลายประเทศ รวมทั้ง คาร์โบฟูราน ของบริษัทเอฟเอ็มซี ที่ถูกห้ามใช้ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว เพราะเป็นอันตรายเกินกว่าจะยอมรับได้

 

เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกกำลังจับตาว่า การจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม จะเป็นแค่เพียงการจัดฉาก เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการขึ้นทะเบียนของกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจสารพิษตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหรือไม่อย่างไร

 

หากกรมวิชาการเกษตรยังคงยืนยันให้มีการขึ้นทะเบียน หรือมิได้มีการดำเนินการให้มีการประกาศห้ามใช้สารพิษ 4 ชนิดข้างต้น เครือข่ายผู้บริโภคและเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกทั่วประเทศ จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพื่อเปิดโปงให้สาธารณชนให้รับทราบความจริง ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล ตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีการกระทำส่อไปในทางทุจริต  รวมถึงการรณรงค์สาธารณะเพื่อต่อต้านสินค้าของบริษัทที่แสวงหาผลประโยชน์จากชีวิตของประชาชนอย่างปราศจากจริยธรรม

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: