เมื่อวันที่ 15 เม.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ภายหลังพิธีทำบุญตักบาตรและรดน้ำสงกรานต์ที่นครวัด เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ว่า รู้สึกดีใจที่ได้ทำบุญตามศาสนา เพราะไม่ได้ทำมานาน รู้สึกสุขใจ แต่ที่มีความสุขมากไปกว่านั้น คือ ประชาชนให้การสนับสนุนและเรียกร้องให้กลับบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเห็นน้ำตาผู้ชายอกสามศอกร้องไห้บอกว่าให้กลับ ซึ่งมันหาไม่ได้ที่ชาวบ้านจะให้ความรักและเมตตาเราขนาดนี้ บางคนหอบข้าวของเบียดเสียดเอามาให้ ถือเป็นน้ำใจที่หายาก ทำให้อบอุ่นใจและต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณทุกวิถีทางที่จะทำได้ และต้องขอบคุณกัมพูชาที่ได้ให้คนไทยเข้ามาจำนวนมาก ถ้าถามว่าอยากจะกลับเมืองไทยตอนไหนก็อยากจะกลับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.แล้ว แต่หากจะกลับต้องให้ทุกอย่างดีและลงตัวกว่านี้
“ครั้งที่ผมกลับไทยเมื่อพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งและเป็นรัฐบาล ผู้นำบางประเทศที่เป็นเพื่อนบอกว่า อย่าคิดว่าเป็นรัฐบาลแล้วกลับไปจะปลอดภัย ขอให้ระวังเขาอาจจะลอบฆ่าอยู่ จึงอยากให้อยู่ในสถานการณ์ที่ผมไปเดินถนนไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางได้” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกังวลว่าการจัดกิจกรรมในประเทศกัมพูชา จะเปิดทางให้กัมพูชาเข้าไปแทรกแซงการเมืองไทย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะการที่ประชาชนเดินทางมากันมาก เพราะกัมพูชาอำนวยความสะดวก แต่ทางประเทศลาวไม่อนุญาตให้นำรถผ่านเข้าไป เพราะจะทำให้ประชาชนเดินทางลำบากเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าในปีนี้จะได้กลับบ้านอย่างแน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เราเป็นคนไทยเป็นคนพุทธจะนึกถึงสิ่งที่เป็นมงคล และปีนี้เป็นปีมหามงคล คิดว่าในเมื่อทุกอย่างเป็นมงคลก็ควรทำให้ประเทศเราดีขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งแบ่งฝ่ายกัน ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก ควรจะจบได้แล้ว เพราะจะเป็นมงคลกับประเทศด้วย
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะขยายความได้หรือไม่ที่บอกว่าเป็นปีที่ดี และเป็นมหามงคลแล้วจะได้กลับบ้านหมายความว่าอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เราถือว่าเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งเราถือว่าเป็นรอบที่สำคัญ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา จึงรู้สึกว่าเป็นปีที่ดีก็น่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยง เราเป็นคนพุทธก็พยายามคิดในสิ่งที่เป็นมงคล
ส่วนกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า คิดได้แต่ทำยาก เพราะความไม่ยอมรับของคนไทยที่ตื่นตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ขนาด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ยังลุกขึ้นมาบอกว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ใครที่คิดเรื่องนี้อยู่ก็คงจะสวนทางกับโลก เชื่อว่าจะไม่เหมือนเดิมจะไม่มีคนเอาดอกไม้มาให้อีกแล้ว เพราะตนเชื่อว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยตอนนี้มันฝังลึกในคนไทย ใครที่คิดไม่ดีก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์
“ทหารมีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์ ถ้านักสู้ถวายความจงรักภักดี ไม่มีอะไรทำให้กระทบกระเทือนหน้าที่ ทหารก็ไม่มีอะไร ส่วนความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 นั้น ช่วง 50 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา เพราะเขามีหลักดำเนินคดี แต่ในช่วงหลังจากปฏิวัติเรื่องนี้เป็นประโยชน์ทางการเมืองมาก แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ไม่ทรงโปรดที่จะให้ใช้มาตรา 112 พร่ำเพรื่อ ผมเคยถวายงาน ทรงรับสั่งชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมาทำแบบนี้ และไม่ได้ทรงระคายอะไร ทั้งนี้บางครั้งใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าจงรักภักดีเพียงคนเดียวมากไป ทำให้มีปัญหา” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
เมื่อถามว่าหากต้องกลับไปอยู่ประเทศไทยภายใต้ระเบียบกฎหมาย กับการเคลื่อนไหวอย่างสะดวกนอกประเทศแบบไหนดีกว่ากัน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า เหมือนกัน เพราะทุกประเทศมีกฎกติกา การเคลื่อนไหวเขาไม่ได้เรียกว่าการเคลื่อนไหว แต่เรียกว่าใจผูกใจ ประชาชนผูกใจกับตน ตนก็ผูกใจกับประชาชน อยากจะเดินทางมาให้ใกล้ เพื่อเขาจะได้เดินทางมาสะดวก ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ตนกลับมาเมืองไทยแล้วจะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายนั้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เขาถึงยอมรับตนในทุกๆที่ ผู้นำหลายประเทศยังมาพบตนด้วยตัวเอง หลายประเทศส่งผู้บริหารระดับสูง ระดับรัฐมนตรี ระดับกรรมการพรรคการเมืองใหญ่มาพบ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพราะเขาอยากเห็นเสถียรภาพในภูมิภาคแห่งนี้ เพราะไทยเป็นประเทศหลักทางเศรษฐกิจในอาเซียน ถ้าไทยอ่อนแออาเซียนจะอ่อนแอไปด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าเรายังเป็นอย่างนี้เขาก็เป็นห่วงว่าอาเซียนไม่เข้มแข็ง เพราะ 6 ปีที่อาเซียนเคยเข้มแข็งแต่ตอนนี้กลับอ่อนแอไปเยอะ โอกาสจะแย่งชิงผลประโยชน์จากการลงทุนหายไปเยอะ
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ดังนั้นในฐานะผู้นำอาเซียนก็อยากเห็นบ้านเมืองเราอยู่ในความปรองดอง ในฐานะที่เราชนะเลือกตั้ง และถูกกระทำมากที่สุด ก็ได้ยื่นเรื่องที่จะให้อภัยกันขึ้นมาก่อน ถ้าเราไม่ยื่นก็เป็นไปไม่ได้ที่บ้านเมืองจะยุติ เหตุผลที่ตนยังไม่เดินทางกลับบ้าน ไม่ใช่เพราะการเมืองไม่นิ่ง หรือสถานการณ์น่าเป็นห่วง แต่มีสิ่งเดียวคือรัฐบาลต้องทำงานให้ประชาชนได้เห็นว่าทุ่มเทเพื่อเขา ซึ่งจะเป็นจุดชี้ว่าการเมืองนิ่งหรือไม่นิ่ง ส่วนในสภาไม่มีอะไรเพราะรัฐบาลเป็นเสียงข้างมาก ยืนยันว่าไม่เป็นห่วงอะไรแต่อยากให้บ้านเข้าสู่ภาวะปกติให้ยิ้มเข้าหากันได้ ไม่ใช่ถามว่าคุณสีอะไร ตอนนี้มันต้องไม่มีสี
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้เสียสละ เดินทางกลับไปรับโทษเพื่อให้เกิดการปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้ายุติธรรมจะเข้า แต่ตอนนี้มันยังไม่ยุติธรรม ถ้าเริ่มต้นใหม่ไม่กลัวและยินดีต้อนรับ
เมื่อถามว่าแต่ฝ่ายค้านยังเชื่อว่าการออกกฎหมายเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ต้องถามกลับว่าแล้วเหตุมันเกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้ต้องก้าวข้ามตนให้ได้ ถ้าก้าวข้ามไม่ได้ก็ลำบาก การเมืองก็ไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนไม่ได้ เพราะก้าวไม่ข้ามตนสักที เขย่งอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว
เมื่อถามว่ามีข้อสังเกตว่า การที่ระบุว่าจะกลับประเทศไทยจะยิ่งทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องกดดันในการเดินหน้าแนวทางปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลเป็นเรื่องของรัฐสภา นายกฯ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่เป็น ส.ส.แค่ 1 เสียง วันนี้เป็นเรื่องของสภาก็ต้องปล่อยสภา เพราะอยู่ใกล้ประชาชนและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนออกมา การเมืองในสภาไม่นิ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่ไหนมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นปกติที่จะเป็นเช่นนี้ เพราะเขาเป็นฝ่ายค้านเก่ง
เมื่อถามว่าจนถึงขณะนี้ฝ่ายค้านก็ยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ฝ่ายค้านก็คือตัวแทนประชาชน ฉะนั้นต้องทำในสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น ถ้าคนส่วนใหญ่อยากเห็นปรองดอง ฝ่ายค้านก็ต้องคล้อยตามประชาชน ถ้าไม่คล้อยตามก็จะถูกโดดเดี่ยว แต่ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่แม่ของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายชุมนุมราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้มีนิรโทษกรรมก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าเรื่องปรองดองจะเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ น่าจะเกิดขึ้นเพราะรู้สึกลึกๆ แต่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เพราะนั่งทางในไม่เป็น แต่อยู่ในการเมืองมานานมีสิ่งบอกเหตุก็พอจะเดาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนิรโทษกรรม ที่จะไปมีผลครอบคลุมถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับประโยชน์ด้วย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่คำว่านิรโทษกรรมยังไม่คิดใช้ แต่ใช้แต่ใช้ว่าทำอย่างไรให้คนหันมาปรองดองกัน
เมื่อถามต่อว่าคิดว่าตัวเองควรจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวย้อนว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างยุติธรรมใครก็รับได้ ไม่มีใครกลัวถ้าไม่ได้ทำผิด”
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่าที่มี ส.ส.และรัฐมนตรีมาร่วมกิจกรรมอาจเป็นความผิดได้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวย้อนว่า มีกฎหมายอะไรให้ผิด ถามว่าผิดกฎหมายอะไร สงสัยจะเขียนกฎหมายเอง
เมื่อถามว่าถ้าการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จและผลักดันเรื่องปรองดองไปได้ แล้วจะเดินทางกลับจะง่ายขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ทุกอย่างต้องกลับไปสู่หลักความเป็นธรรม เห็นได้จากที่พระสงฆ์มาสนับสนุนเรา เพราะเห็นถึงความไม่เป็นธรรมและรับไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้น คือความเป็นธรรมและผู้ที่ทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมต้องมีความเป็นธรรมด้วย
เมื่อถามว่าที่บอกว่าให้ทุกอย่างกลับไปสู่จุดเริ่มต้น โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม พร้อมที่จะกลับไปต่อสู้คดีหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า แน่นอน ตนไม่ผิด ไม่เคยกลัว แต่ขอให้กระบวนการยุติธรรมมันยุติธรรมจริงๆ ซึ่งหลังจากที่อดีตกรรมการบริหารพรรคพ้นโทษทางการเมืองในเดือนพ.ค.นี้ ตนคิดว่าคงจะไม่กลับเข้าไปใหม่แล้ว เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นน้องคนเล็ก ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว หมดรุ่นของตนแล้ว แต่จะคอยเป็นผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาและความคิดดีๆ เพื่อให้บ้านเมืองไปได้ดี เพราะตอนนี้ตนอีก 37 ปีจะครบร้อยแล้ว คอยเป็นฝ่ายวิชาการได้และรวบรวมข้อมูลเป็นสารานุกรม ใครอยากจะเปิดดูก็เปิดได้ ใครไม่อยากเปิดก็ไม่ต้องเปิด ไปบังคับไม่ได้
เมื่อถามว่าการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมาถูกรุมเร้า โดยเฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติได้ให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่มีอะไร แต่ต้องมีความอดทนและทำในสิ่งที่ถูกต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ให้มาก ถ้าใช้ความรู้สึกจะแก้ปัญหาไม่ได้ เราต้องแก้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์และคิดเป็นระบบ
ขอบคุณข่าวจาก คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/index.php
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ