คนไทยกินเค็มเกินต้องการ2เท่า เสี่ยงความดัน-หัวใจ-ไต-อัมพาต

16 ต.ค. 2555


 

น.พ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคเรื้อรังถือเป็นปัญหาสาธารณสุขใหญ่ของไทย พบว่า คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 21.4 หรือ 11.5 ล้านคน โรคไต ร้อยละ17.5 หรือ 7.6 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด ร้อยละ 1.4 หรือ 0.75 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ร้อยละ 1.1 หรือ 0.5 ล้านคน โรคกลุ่มนี้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง อาหารรสชาติเค็ม เป็นอาหารที่มีเกลือ หรือ โซเดียมสูง นับเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง จึงแนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกินวันละ 5 กรัม ถ้าเทียบเป็นปริมาณโซเดียมก็ไม่ควรเกิน วันละ 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา

 

                  “จากการสำรวจพบว่า คนไทยบริโภค เกลือ และโซเดียมสูงกว่าเกินที่แนะนำ 2 เท่า หรือ 10.8 กรัม หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน การรับประทานอาหารรสเค็มจัด จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และยังมีผลเสียต่อไตโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย (2550-2559) โดยกำหนดเป้าหมายหลักในการพัฒนาลดปัญหาโรควิถีชีวิต ที่สำคัญ 5 โรค คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง มะเร็ง” น.พ.โสภณกล่าว

 

 

ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสม จะช่วยลดภาระโรค รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้จัด “โครงการลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” ภายใต้ โครงการขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสชาติเค็ม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารมื้อหลักของคนไทย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 ซื้ออาหารกลางวันนอกบ้าน ประเภทอาหารที่ทานบ่อยคือ ข้าวราดแกง อาหารจานเดียว/อาหารตามสั่ง และก๋วยเตี๋ยว พบว่า ประชากรมีพฤติกรรมการปรุงเพิ่ม โดยเติมเครื่องปรุงรสเป็นนิสัย คนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหารในแต่ละมื้อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมักอยู่ในอาหารแปรรูป โดยเฉพาะจากเครื่องปรุงรสซึ่งนิยมใช้มาก 5 ลำดับแรก คือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม เมื่อเทียบจะพบว่าเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 6,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 960-1420 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 1  ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,430-1,490 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 420-490 มิลลิกรัม

 

น.พ.สุรศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารถุงปรุงสำเร็จ มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยต่อถุง 815-3,527 มิลลิกรัม อาทิ ไข่พะโล้ แกงไตปลา คั่วกลิ้ง ฯลฯ ส่วนอาหารจานเดียว มีปริมาณโซเดียม 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อหนึ่งจาน อาทิ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวคลุกกะปิ ฯลฯ ทั้งนี้การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดเค็ม ทำได้ง่ายๆ คือ 1.หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และผงชูรส 2.หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงในอาหารจานเดียว 3.หลีกเลี่ยงอาหารประเภทดองเค็ม อาหารแปรรูป 4.เลือกรับประทานอาหารที่มีหลายรสชาติ เช่น แกงส้ม ต้มยำ เพื่อทดแทนรสชาติเค็ม 5.น้ำซุปต่าง ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ควรรับประทานแต่น้อยหรือเทน้ำซุปออกบางส่วนแล้วเติมน้ำเพื่อเจือจางลง และ 6.สังเกตปริมาณโซเดียมที่ฉลากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งอาหารสำเร็จรูป และขนมถุง ก่อนรับประทาน

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: