ชี้สารตะกั่วในสีทาบ้านอันตราย พบเด็กเสี่ยงกว่า50เปอร์เซนต์

มูลนิธิบูรณะนิเวศ 17 ต.ค. 2555 | อ่านแล้ว 1462 ครั้ง

ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “ตะกั่วในสีทาอาคาร : ภัยที่ป้องกันได้” ขึ้น ที่วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ

 

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยถึงผลการวิจัยโดยคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี 2553 ว่า เด็กมากกว่าร้อยละ 50 ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร เสี่ยงต่อการได้รับสารตะกั่ว โดยแหล่งกำเนิดที่พบมากที่สุดคือ สีทาอาคารที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว

 

 

                 “เด็กที่อยู่ในอาคารที่ทาสีน้ำมัน ควรถูกตรวจคัดกรองเลือดทุกคน เพราะความเสี่ยง 50 เปอร์เซ็นต์นั้นหมายความว่าไม่ต้องรอแล้ว ถ้าบ้าน โรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็กของคุณทาสีน้ำมัน และถ้าอยู่เป็นเวลานาน เจาะเลือดได้เลย มิฉะนั้นเด็กที่ได้รับสารตะกั่วจะไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที” น.พ.อดิศักดิ์กล่าว ก่อนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เด็กเล็กคือกลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุดต่ออันตรายของสารตะกั่วจากสีทาบ้าน เนื่องจากสมองเด็กเล็กอ่อนไหวต่อผลกระทบจากสารตะกั่ว และองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้โรคปัญญาอ่อนจากสารตะกั่วเป็นหนึ่งในโรคจากสภาพแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดในโลก และระบุว่าไม่มีปริมาณการได้รับสารตะกั่ว ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

 

ด้าน เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานบังคับปริมาณสารตะกั่วที่ใช้ผสมในสีทาอาคาร จึงยังมีสีปนเปื้อนสารตะกั่ววางจำหน่ายอยู่อย่างแพร่หลาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                “ผลการสุ่มตัวอย่างโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ เมื่อปี 2552 พบสีน้ำมันร้อยละ 47 ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานของไทย (600 ppm) มาตรฐานที่ใช้ในประเทศไทยในเวลานี้ เป็นมาตรฐานแบบสมัครใจ จึงทำให้ผลการสำรวจของทางมูลนิธิพบว่า ยังมีสีทาอาคารอีกหลายยี่ห้อที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนในระดับสูง โดยมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในตลาดระดับกลางและระดับล่าง นอกจากสีที่วางจำหน่ายในท้องตลาด ยังมีสีปนเปื้อนสารตะกั่วที่ติดอยู่บนพื้นผิวอาคาร ซึ่งยังคงเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย ช่างก่อสร้าง และเสี่ยงต่อการปนเปื้อนต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมรอบอาคาร เนื่องจากตะกั่วเป็นสารพิษที่ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม” เพ็ญโฉมกล่าว

 

 

ขณะที่ ชาญณรงค์ ไวยพจน์ ประธานอนุกรรมการวิศวกรรมความปลอดภัย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมความปลอดภัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า นอกจากผู้ผลิตสีจะต้องผลิตสีที่มีคุณภาพแล้ว ต้องให้ความรู้เรื่องการเก็บสีล้างสีเก่าของช่าง เพราะหากล้างไม่ดี ตะกั่วจะฟุ้งกระจายสู่สิ่งแวดล้อม

 

สุทธิยา จันทวรางกูร ตัวแทนคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า มีความยินดีที่ในประเทศไทยเริ่มมีการขับเคลื่อนให้เพิกถอนสารตะกั่วจากสีทาอาคาร และยินดีสนับสนุน

 

 

               “ตะกั่วเป็นสารเคมีเป็นพิษที่หากใช้อย่างแพร่หลาย จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก และยังเกิดผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อม เราสนับสนุนพฤติกรรมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ตัวแทนคณะผู้แทนสหภาพยุโรปฯ กล่าว พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ล่าสุดคณะผู้แทนสหภาพยุโรปสนับสนุนความร่วมมือระหว่าง 7 ประเทศเอเชียเพื่อเพิกถอนสารตะกั่วในสีทาอาคารที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานประสานงานและบริหารอยู่ที่สวีเดน และสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับเครือข่ายระหว่างประเทศ เพื่อการจัดการสารพิษที่ตกค้างยาวนาน (International POPs Elimination Network: IPEN) ภายใต้งบสนับสนุนทั้งหมดใน 9 ประเทศ เป็นจำนวน 1.4 ล้านยูโร มีระยะเวลาดำเนินงานรวม 3 ปี

 

 

ด้านนายกสมาคมผู้ผลิตสี เพชรรัตน์ เอกแสงกุล ยืนยันว่า สมาชิกของสมาคมฯ ไม่คัดค้านการเลิกใช้สารเคมีที่มีตะกั่วผสมในสีทาบ้าน แต่ภาครัฐควรจะมีมาตรการป้องกันการนำเข้าสีที่มีสารตะกั่วอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนการห้ามผู้ผลิตในประเทศ

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: