คดีพิพาทที่ดินป่าพรุแม่รำพึง ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ชาวบ้านฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง โดยเฉพาะกรมที่ดิน ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดิน 18 แปลง ที่ชาวบ้านเชื่อว่าบริษัทเอกชนได้มาโดยมิชอบ ในเบื้องต้น จบลงด้วยคำพิพากษายกฟ้องของศาลปกครอง ซึ่งแกนนำยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป และเดินหน้าต่อสู้ต่อไป พร้อมทั้งนำข้อมูลกรณีพื้นที่สาธารณะป่าพรุแม่รำพึงเปิดเผยต่อสาธารณะให้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม กรณีพิพาทเรื่องที่ดินในอ.บางสะพาน ระหว่างชาวบ้าน กลุ่มอนุรักษ์กับเครือสหวิริยาที่ต้องการใช้พื้นที่ลงทุนสร้างโรงถลุงเหล็ก ใช่ว่าจะยุติ เนื่องจากยังมีที่ดินอีก 2 กลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง และบางกรณียังค้างคาอยู่ในชั้นศาล
ที่ดินที่เป็นปัญหาซึ่งชาวบ้านบางสะพานตั้งข้อสังเกตว่า อาจได้มาโดยมิชอบ ซุกซ่อนความไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน ณ ขณะนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือส่วนที่ชาวบ้านเรียกว่าพื้นที่ปีกนกประมาณ 400 ไร่ ซึ่งศาลปกครองกลางได้พิพากษาไปแล้ว กลุ่มที่ 2 อยู่ในพื้นที่หนองเต่า-หนองนกกระเรียน 314 ไร่ และที่ดินกลุ่มสุดท้าย ชาวบ้านเรียกว่าที่ 52 แปลง ซึ่งชาวบ้านร้องเรียนว่า อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง อีก 798 ไร่ ที่ดิน 2 กลุ่มหลังต่างนี้มีสภาพปัญหาและเงื่อนงำที่ผิดแผกกันไป
.jpg)
รัฐยอมความเอกชน ปล่อยเช่าที่สาธารณะแค่ตารางวาละ 14 บาทต่อปี
พื้นที่บริเวณหนองเต่า-หนองนกกระเรียน เดิมทีเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่บริษัทเอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์ ประมาณปี 2532 ทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนดังกล่าว ในข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยทำการแยกฟ้องเป็น 2 แปลง รวมพื้นที่ประมาณ 314 ไร่
ผลปรากฏว่า บริษัทเอกชนถูกตัดสินให้แพ้คดี 1 แปลง เป็นเหตุให้เกิดการเจรจาขอเช่าพื้นที่สาธารณะ ภายหลัง ทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงถอนฟ้องคดีทั้งสองแปลง และมีมติคณะรัฐมนตรีให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้เก็บค่าเช่า ปัจจุบัน ค่าเช่าอยู่ที่ตารางวาละ 14 บาทต่อปี
“พื้นที่ที่เช่าวันนี้ก็ไม่ได้ให้เราเข้าไปเดินได้ มีการล้อมรั้วกั้น กองเหล็กเยอะไปหมด เป็นเรื่องที่ชาวบ้านรู้สึกเจ็บปวด เพราะมีการถมพื้นที่ ส่วนหนึ่งชาวบ้านเชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมบางสะพานทั้งอำเภอตอนปี 2548 เหตุหนึ่งเกิดจากการถมพื้นที่ลุ่ม รัฐต้องจ่ายเป็นพันล้าน แต่รัฐได้ค่าเช่าแค่ 14 บาทต่อตารางวา พอเอกชนแพ้คดีก็ขอเช่า รัฐก็ให้เช่า ให้ดูวันนี้ทั่วประเทศ ถ้าชาวบ้านอยู่ในที่สาธารณะบ้าง ติดคุกอย่างเดียวเลย และจ่ายเงินแพงมาก ไม่ใช่ตารางวาละ 14 บาท นี่คือความเป็นธรรม” จินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูดกล่าว
.jpg)
‘สหวิริยา’ฟ้องกรมที่ดินเพิกถอนสิทธิ์ฐานรุกป่า
ที่ดินกลุ่มสุดท้ายที่ชาวบ้านเรียกว่าที่ 52 แปลง อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง พื้นที่นี้ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ป่าคุ้มครองตั้งแต่ 2484 และถูกประกาศเป็น “ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง”ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 นอกจากจะมีพื้นที่ป่าแล้ว ยังมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าชายเลนและเป็นพื้นที่รับน้ำแหล่งใหญ่ของอ.บางสะพานก่อนไหลลงสู่ทะเล
ซึ่งก่อนหน้านี้ ช่วงปี 2533-2536 ทางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยคณะกรรมการจังหวัดในยุคนั้น นำโดยปลัดจังหวัด และวิฑูรย์ ชลายนนาวิน เจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัด (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ตรวจสอบและจับกุมการรุกพื้นที่สาธารณะ 52 แปลง และส่งเรื่องให้แก่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อสอบสวนและชี้มูลความผิด
ปี 2548-2549 ป.ป.ช. ได้ชี้มูลมายังกรมที่ดินให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของเอกชน เนื่องจากทับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและวนอุทยาน ซึ่งกรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพบว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์คลาดเคลื่อน จึงเห็นควรให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ อย่างไรก็ตามกรมที่ดินได้มีข้อเสนอแนะให้เยียวยาแก่เอกชน แต่ถูกเครือข่ายพันธมิตรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์คัดค้าน เพราะเห็นว่าเอกชนย่อมทราบดีอยู่แล้วก่อนซื้อที่ดิน เนื่องจากสภาพพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่วนอุทยาน จึงเห็นว่ารัฐไม่ควรเยียวยาในกรณีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์บางสะพาน และเครือข่ายพันธมิตรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะกดดันให้กรมที่ดิน กรมป่าไม้ และกระทรวงมหาดไทย เพิกถอนเอกสารสิทธิ์โดยเร็ว แต่ก็ถูกกรมที่ดินบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาด้วยคำอ้างว่า ต้องรอปรับมาตราส่วนที่ดินก่อน กระทั่งวันที่ 5 มกราคม 2553 จึงมีคำสั่งจากกรมที่ดินให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน 48 แปลง และแก้ไขรูปแผนที่ 4 แปลง ของบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งทางสหวิริยาได้ใช้สิทธิ์อุทธรณ์ ภายหลังกรมที่ดินพิจารณาแล้วได้ยกคำร้องอุทธรณ์เสีย และมีคำสั่งให้ที่ดินอำเภอบางสะพานดำเนินการเพิกถอน ทางเครือสหวิริยาจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในกรณีดังกล่าว โดยมีชาวบ้านตำบลแม่รำพึง 33 คนเป็นผู้ร้องสอด
.jpg)
พิรุธข้าราชการกรมป่าไม้ให้ข้อมูลกลับไปกลับมา
ประเด็นที่ชวนตั้งข้อสังเกตอยู่ตรงที่คดีนี้ ทางกรมป่าไม้ได้แต่งตั้ง วิฑูรย์ ชลายนนาวิน รองอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้เชี่ยวชาญของศาล ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ เพื่ออ่าน แปล ตีความ และวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศในที่ดิน 52 แปลงนี้ วิฑูรย์เสนอรายงานผลการอ่าน แปล ตีความ และวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศออกมา ซึ่งสรุปตามเอกสารได้ว่า เครือสหวิริยาไม่มีความผิด ทั้งที่ในปี 2536 วิฑูรย์ ชลายนนาวิน คนเดียวกันนี้ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่แห่งนี้ และส่งเรื่องให้ป.ป.ช. ตรวจสอบ
ก่อนหน้านี้ วิฑูรย์ยังถูกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งกรรมการสอบสวน กรณีการบุกรุกพื้นที่หาดฟรีดอม จ.ภูเก็ต ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ที่ถูกพาดพิงด้วยนั้น เกิดจากความขัดแย้งของบุคคลบางกลุ่มที่อาจมีผลประโยชน์กับการสอบสวนที่ดินแปลงนี้ ทำให้ถูกตรวจสอบไปด้วย โดยเขายอมรับว่าการมีรายชื่อพัวพันกับคดีดังกล่าว เนื่องจากที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญศาลในการวิเคราะห์และแปลภาพถ่ายทางอากาศ ของสำนักงานยุติธรรม ได้ตีความแปลภาพถ่ายทางอากาศของที่ดินแปลงนี้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา จินตนา และสมหวัง พิมสอ แกนนำเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมชาวบ้านกว่า 20 คน จึงยื่นคัดค้านการแต่งตั้งวิฑูรย์ให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมป่าไม้ โดยมีศักดา นพสิทธิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
.jpg)
รองอธิบดีป่าไม้ ยันสิ้นเดือนสิงหาคมรู้ผลสอบ
และในวันที่ 15 สิงหาคม ภายหลังที่จินตนาและชาวบ้านรับฟังคำพิพากษาของศาลปกครอง กรณีสหวิริยารุกที่ป่าพรุแม่รำพึงเสร็จสิ้น ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังกรมป่าไม้ เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการขึ้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมป่าไม้ ของวิฑูรย์อีกครั้ง และขอทราบความคืบหน้าผลการสอบสวนกรณีที่ดิน 52 แปลงของบริษัทในเครือสหวิริยา ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูงของกรมป่าไม้ โดยมีประยุทธ หล่อสุวรรณศิริ รองอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้รับเรื่อง และกล่าวว่า
“ในส่วนของกรมป่าไม้ที่สอบเรื่องคุณวิฑูรย์กรณีบางสะพาน ขณะนี้สอบแล้ว กำลังเขียนสำนวนสอบสวนอยู่ เราตั้งใจว่าจะส่งรายงานให้แก่อธิบดีภายในเดือนสิงหาคมนี้ และเมื่อทางเราส่งรายงานให้ท่านอธิบดีแล้ว จะทำการสำเนาเอกสารส่งไปให้”
ซึ่งกรณีพิพาทที่ดินหลายแปลงในพื้นที่บางสะพาน คืออุปสรรคใหญ่ของการลงทุนในพื้นที่ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขด้วยอำนาจพิเศษตามกฎหมาย ที่มีอยู่ในมือของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งศูนย์ข่าว TCIJ จะติดตามนำมาเสนอต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ

