จี้เร่งแก้ช่วยต่างด้าวเข้าระบบสาธารณสุข ระบุหากยังกีดกันหวั่นนำโรคใหม่เข้าไทย ร.พ.ชายแดนโอดต้องแบกหนี้ปีละ28ล้าน

ทีมข่าวศูนย์ข่าว TCIJ 18 ต.ค. 2555 | อ่านแล้ว 2309 ครั้ง

คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับ คณะอนุกรรมการสนับสนุนการนำมติสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 63 WHO Global Code of Practice on International Recruitment of Health Personnel ไปสู่การปฏิบัติและภาคีระบบสุขภาพ ได้แก่ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) และเครือข่ายถมช่องว่างทางสังคม (SIR-Net) จัดการประชุมวิชาการ “สุขภาพแรงงานข้ามชาติ : ทางออกที่เหมาะสม เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่โรงแรมพีเคพาเลซ เพื่อระดมสมองหาทางออกที่เหมาะสม ให้กับระบบสุขภาพของไทย ในสถานการณ์ที่มีแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้น ในระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

เน้นให้แรงงานข้ามชาติเข้าระบบสาธารณสุขไทย

 

 

น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการจัดประชุมวิชาการครั้งนี้ว่า ปัญหาการเพิ่มขึ้นของแรงงานข้ามชาติในระบบบริการสาธารณสุขของไทย เป็นสิ่งที่เราต้องเร่งทำความเข้าใจกับสถานการณ์ รับทราบสภาพปัญหา และความต้องการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการภาครัฐ และเอกชน ในการให้บริการสุขภาพกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมข้อเสนอในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ และการควบคุมป้องกันโรค ทั้งในส่วนการให้บริการแก่คนไทย แรงงานข้ามชาติ และผู้ย้ายถิ่น การประชุมในครั้งนี้ น่าจะได้ข้อเสนอเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของระบบสุขภาพ และทางออกที่เหมาะสม เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของแรงงานและผู้ย้ายถิ่นข้ามชาติ ทั้งในสภาพปัจจุบันและอนาคตด้วย

 

 

คาดทั้ง ‘ลาว-พม่า-กัมพูชา’ มีมากถึง 4 ล้านคน

 

 

ทั้งนี้ตัวเลขจากการสำมะโนประชากรและการเคหะในปี 2553 ระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย ประมาณ 2.7 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เป็นแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพม่า กัมพูชา และลาว แต่ตัวเลขจากนักวิจัยด้านประชากรศาสตร์คาดการณ์ว่า แรงงานข้ามชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย น่าจะมีอยู่ในประเทศไทยถึงกว่า 4 ล้านคน การคงอยู่ในสังคมไทยของแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ ทำให้เกิดความต้องการบริการสุขภาพตามมาด้วย ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงว่า จำเป็นหรือไม่ที่รัฐไทยต้องจัดบริการสุขภาพให้แรงงานข้ามชาติ เพราะสถานพยาบาลหลายแห่ง ต้องประสบกับภาวะวิกฤติทางการเงิน เมื่อต้องจัดบริการให้กับแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่ได้จ่ายเงินสมทบเข้าสู่ระบบสุขภาพของไทย

 

 

ชี้วางแผนระบบสาธารณสุขต้องคิดถึงต่างด้าวด้วย

 

 

น.พ.ภูษิต ประคองสาย ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายสุขภาพ ไม่ให้ความสำคัญกับแรงงานข้ามชาติ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ที่ต้องการบริการสุขภาพและการควบคุมป้องกันโรคติดต่อ ทำให้ภาระในการดูแลสุขภาพของประชาชนกลุ่มนี้ ต้องตกอยู่กับสถานพยาบาล และได้เสนอทางออก เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระบบสุขภาพของไทยในยุคที่ประเทศต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติว่า

 

 

             “กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับกระบวนทัศน์ใหม่ การวางนโยบาย การวางแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ และการผลิตบุคลากรต้องคำนวณ โดยเอาตัวเลขของแรงงานต่างชาติ มาเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการรับบริการสุขภาพด้วย”

 

 

น.พ.ภูษิตกล่าวว่า นโยบายด้านสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการวางแผนการผลิตบุคลากร การจัดสรรงบประมาณ และการกระจายสถานพยาบาล ล้วนคำนวณจากฐานของประชาชนไทยเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงแรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มคนที่จำเป็นต้องเข้ามาใช้บริการในระบบสุขภาพของประเทศไทยจริง ๆ

 

 

                 “เราต้องยอมรับความจริงว่านโยบายสุขภาพของเราไม่ใช่เพื่อคน 65 ล้านคนเท่านั้น แต่ต้องเพื่อ 65 ล้าน บวก 5 หรือ บวก 7 ล้านคน ในอนาคต ซึ่งคือต้องคำนึงถึงแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทย การวางแผนการผลิตบุคลากรต้องคำถึงตัวเลขตรงนี้ด้วย” น.พ.ภูษิตกล่าว

 

 

ต่างด้าวที่เข้ามาถูกต้อง มีสิทธิซื้อประกันสุขภาพ

 

 

แม้กระทรวงสาธารณสุขจะจัดสวัสดิการดูแลสุขภาพให้กับแรงงานข้ามชาติ ในรูปของกองทุนประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ ปี 2543 โดยแรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย สามารถซื้อบัตรประกันสุขภาพได้ในราคาปีละ 1,900 บาท เพื่อรับสิทธิในการเข้ารับบริการตรวจ และรักษาสุขภาพ แต่พบว่ามีแรงงานข้ามชาติจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงงานข้ามชาติทั้งหมด ที่มีในประเทศไทย เข้าเป็นสมาชิกของกองทุนนี้ โดยในปี 2555 นี้พบว่า มีแรงงานข้ามชาติประมาณ 520,000 คนเท่านั้น ที่เข้าเป็นสมาชิกกองทุน

 

               “ปัจจุบันระบบประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ให้สิทธิเฉพาะผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานถูกกฎหมายเท่านั้น ที่สามารถมีสิทธิในการประกันสุขภาพ ทำให้แรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่ง เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ ทั้งที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า การพยายามนำเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพให้ได้ โดยแยกเป็นคนละเรื่องกับปัญหาสัญชาติ” น.พ.ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ นักวิจัยจาก IHPP ผู้ศึกษาเรื่องการให้บริการสุขภาพแรงงานข้ามชาติ กล่าว

 

 

หลายฝ่ายเห็นแย้ง-เพิ่มรายได้ให้ไทย แต่ไม่ได้สมทบระบบสุขภาพ

 

 

น.พ.ระพีพงศ์อ้างถึงการศึกษาขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ ในปี 2550 ว่า แรงงานต่างด้าวส่งผลเพิ่มรายได้ของประเทศประมาณปีละ 60,000 ล้านบาท โดยส่งผลต่อมูลค่าในภาคอุตสาหกรรม ประมาณร้อยละ 7-10 และในภาคเกษตรกรรม ประมาณร้อยละ 4-5 การเข้ารับบริการด้านสุขภาพที่มากขึ้น ของแรงงานข้ามชาติ รวมถึงกลุ่มคนไร้สิทธิและสถานะทางสัญชาติ ในโรงพยาบาลของรัฐ จนเกิดเป็นภาระทางการเงินของโรงพยาบาลหลายแห่ง ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงกันว่า ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับระบบสุขภาพไทย เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีส่วนในการจ่ายภาษีหรือร่วมจ่ายเงินสมทบเข้าระบบสุขภาพ

 

 

                “ในความเป็นจริงคนกลุ่มนี้สร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย และทุกคนก็มีส่วนในการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในทุกสินค้า และบริการที่พวกเขาซื้ออยู่แล้ว” น.พ.ระพีพงศ์กล่าว

 

 

แนะรัฐเพิ่มรายได้-บุคคลากรให้ร.พ.ที่รักษาต่างด้าว

 

 

นางณหทัย จุลกะรัตน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลสมุทรสาคร กล่าวถึงการแบกรับภาระการรักษาพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ ของแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้ จึงก่อให้เกิดปัญหากับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล

 

 

            “เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องเร่งรัดให้มีการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพให้ได้มากที่สุด ต้องมีหน่วยงานเจ้าภาพที่รับผิดชอบแรงงานต่างด้าวอย่างครบวงจร ตั้งแต่ระดับประเทศ และระดับจังหวัด  กระทรวงสาธารณสุขต้องวางนโยบายที่ชัดเจน และจัดหางบประมาณที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในพื้นที่ ควรมีทีมสุขภาพของประเทศต้นทาง ร่วมงานด้วยหรือเป็นที่ปรึกษา รวมถึงเพิ่มการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้มาตรการภาษีกับผู้ประกอบการที่ดี นอกจากนี้ต้องอนุญาตให้โรงพยาบาลสามารถจัดจ้างบุคลากรด้านสุขภาพจากประเทศต้นทาง เช่น ล่าม  แพทย์  พยาบาลด้วย” นางณหทัยกล่าว

 

 

ร.พ.อุ้มผางโอด แบกหนี้ปีละ 28 ล้าน-หวั่นโรคระบาดเพิ่ม

 

 

ด้านน.พ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก กล่าวว่า ขณะนี้ ร.พ.อุ้มผางดูแลประชากรกว่า 84,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ไร้หลักประกันมากถึง 62 เปอร์เซนต์ คือ ชาวเขาที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ผู้อพยพในศูนย์พักพิง ประชาชนจากประเทศพม่า และประชาชนในหมู่บ้านชายขอบ ส่วนประชาชนที่มีหลักประกันมีเพียง 38 เปอร์เซนต์ เท่านั้น ซึ่งแพทย์และพยาบาลไม่เพียงพอ ที่จะให้บริการ นอกจากนี้โรงพยาบาลยังคงประสบภาวะขาดทุนประมาณปีละ 27-28 ล้านบาททุกปีอย่างต่อเนื่อง

 

 

                “เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน สถานการณ์ปัญหาการดูแลสุขภาพของคนต่างด้าวจะเพิ่มมากขึ้น เพราะ. ศูนย์พักพิงชั่วคราว 3 ศูนย์ของจ.ตากจะถูกยุบ ทำให้ประชากรที่เคยอาศัยในศูนย์ประมาณกว่าแสนคน ต้องเข้ามารับบริการในโรงพยาบาลอุ้มผาง และโรงพยาบาลอื่น ๆ ตามแนวชายแดน และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดูแลบริการสุขภาพระดับต้น จะถอนตัวไปทำให้โรงพยาบาล ต้องรับผู้ป่วยที่ทะลักเข้ามาอย่างแน่นอน รวมทั้งโรคระบาดจะเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้น” น.พ.วรวิทย์กล่าว

 

 

ทั้งนี้น.พ.วรวิทย์ได้เสนอให้เพิ่มอัตรากำลังคน แต่ต้องสัมพันธ์กับงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ ควรให้ความสำคัญกับการให้บริการสุขภาพระดับต้น โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม โดยเฉพาะในเขตประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งควรผลักดันให้รัฐบาลในประชาคมอาเซียนทุกประเทศ สร้างหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชนทุกคน และมีคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพร่วมกันในประชาคมสุขภาพ จะช่วยบรรเทาปัญหานี้ลงได้

 

 

ชี้แม้จะเป็นต่างด้าวก็ควรได้สิทธิรักษาพยาบาล

 

 

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสัญชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวถึงประเด็นการหารือของคณะอนุกรรมการสนับสนุนในการประชุมมติสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 63 ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมให้กับระบบสุขภาพของไทย ในสถานการณ์ที่มีแรงงานข้ามชาติ เพิ่มขึ้นในระบบอย่างต่อเนื่อง ว่า โดยหลักการแล้วการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ซึ่งระบบสาธารณสุขไทยมีระบบที่ดีอยู่แล้ว ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ต้องจ่ายเงินสามารถเข้ารักษาพยาบาลได้เลย ซึ่งมีเฉพาะกับคนไทยเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานแล้ว หรือเกิดในประเทศไทยแต่ตกหล่นไม่ได้สัญชาติ จะไม่มีสิทธิใช้ระบบหลักประกันสุขภาพได้

 

ทั้งนี้ตามพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ พ.ศ.2545 ระบุว่า ผู้มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพ จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น ซึ่งรายชื่อในทะเบียนบ้านยังมีกรณีที่แบ่งออกมาเป็น ทร.14 คือผู้มีสิทธิอาศัยถาวร เช่น คนจีนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานแล้ว แต่ไม่ได้สัญชาติไทย และ ทร.13 ผู้มีสิทธิอาศัยชั่วคราว ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ไม่มีสัญชาติไทย จะไม่ได้สิทธิในการรักษาพยาบาลจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งยังมีคนจำนวนมากในประเทศไทย ที่ควรจะได้สิทธิในการรักษาพยาบาล แต่ไม่ได้ เพราะไม่มีสัญชาติไทยเท่านั้น เช่น ชาวเขาที่ไม่มีสัญชาติไทย เข้าระบบไม่ได้ ที่ยังมีเมีย ลูกอีก

 

 

นอกจากนี้ยังมีแรงงานที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย จะเข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งมีทั้งที่ค่าจ่ายประกันสังคมเอง และเข้าระบบบริษัทนายจ้างจ่ายด้วย ซึ่งตามกฎหมายใน 3 เดือนแรก ประกันสังคมจะไม่รับผิดชอบ หากต้องเข้ารับการรักษา ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขเสนอว่า ให้ซื้อประกันเพิ่มในช่วง 3 เดือนแรกเอง ซึ่งนายจ้างคงไม่จ่ายเงินเพิ่ม ส่วนของแรงงานคงไม่มีเงินที่จะซื้อเพิ่มเองด้วย รวมไปถึงการซื้อระบบประกันสุขภาพเองจากโรงพยาบาล ที่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้ราคาการขายระบบประกันสุขภาพของแต่ละโรงพยาบาลจะต่างกัน เช่น บางโรงพยาบาลขาย 1,000 บาท ในขณะที่อีกโรงพยาบาลขาย 1,300 บาท

 

 

หวั่นไม่รับประกันต่างด้าว อาจนำโรคใหม่เข้ามาในไทย

 

 

ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านสัญชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ  เสนอว่า รัฐบาลควรจะปรับให้ระบบประกันสุขภาพทั้ง 3 ส่วนให้ชัดเจน และประชาชนทุกคนต้องได้สิทธิในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นพื้นฐาน ส่วนใครจะจ่ายเงินเพิ่มในระบบประกันสังคม หรือจะใช้สิทธิในส่วนของราชการ รวมถึงจะเลือกซื้อหลักประกันสุขภาพ สามารถที่จะเลือกใช้ได้

 

ส่วนแรงงานข้ามชาตินั้น กระทรวงสาธารณสุขควรจะวางกรอบในเรื่องหลักประกันสุขภาพ ให้กับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ โดยสนับสนุนงบประมาณในส่วนนี้ เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลในจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก เพราะในด้านมนุษยธรรมแล้วโรงพยาบาล ไม่สามารถปฏิเสธที่จะรักษาคนไข้ได้ ดังนั้นโรงพยาบาลเหล่านี้จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และยังมีปัญหาที่สำคัญคือ แรงงานข้ามชาติที่เพิ่งเดินทางมาประเทศไทย อาจจะนำโรคใหม่ ๆ เข้ามา และถ้าไม่มีการดูแลเรื่องสุขภาพ โรคต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นเชื้อที่แพร่อยู่ในประเทศไทย จะเป็นปัญหาในระยะยาวด้วย ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข จึงควรจะวางนโยบายและแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยนำตัวเลขของแรงงานข้ามชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องรับบริการสุขภาพด้วย

 

                 “ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสุขภาพ ไม่ให้ความสำคัญกับแรงงานข้ามชาติในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ที่มีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ทำให้ภาระในการดูแลสุขภาพคนกลุ่มนี้ ตกอยู่กับสถานพยาบาล ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขต้องวางนโยบายและแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยคำนวณตัวเลขของแรงงานข้ามชาติเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องรับบริการด้านสาธารณสุข” นายสุรพงษ์กล่าว

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: