สช.จับมือเครือข่ายเร่ง2มาตรการ สกัดบุหรี่เถื่อน-คุมเข้มซีเอสอาร์

วรลักษณ์ ศรีใย ศูนย์ข่าว TCIJ 19 พ.ค. 2555 | อ่านแล้ว 1579 ครั้ง

 

จี้คุมเข้มบุหรี่เถื่อนรัฐเสียรายได้-คนเสียชีวิตเพิ่ม

 

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่โรงแรมสยามซิตี้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีเจาะประเด็น เรื่อง "เจาะ 2 มาตรการคุมเข้มยาสูบ" โดยมีหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 ที่ได้เห็นชอบมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2553 โดยเฉพาะมาตรการคุมเข้มบุหรี่เถื่อน ที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย และมาตรการห้ามผู้จำหน่ายยาสูบ ใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดด้วยกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)

น.พ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ กล่าวว่า การลักลอบค้าบุหรี่เป็นปัญหาสำคัญในระดับโลกมีสัดส่วนถึง 11.6 เปอร์เซนต์ ของการปริมาณการค้าบุหรี่ทั่วโลก ส่งผลให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ต้องสูญรายได้จากบุหรี่เถื่อนถึงปีละ 4.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และหากไม่มีมาตรการป้องกันจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจนถึงปี ค.ศ.2030 มากถึง 8.3 ล้านคน แต่หากรัฐบาลสามารถจับกุม และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จะทำให้มีรายได้ภาษีกลับคืนมา 3.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และช่วยชีวิตคนได้ปีละ 164,000 คน

จากการศึกษาพบว่า ปัญหาการคอร์รัปชั่น มีส่วนสำคัญทำให้บุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มีบุหรี่เถื่อนในท้องตลาด 11 เปอร์เซนต์ มีดัชนีวัดความโปร่งใสอยู่ที่ 3.0 ขณะที่สิงคโปร์มีบุหรี่เถื่อน 2 เปอร์เซนต์ ดัชนีความโปร่งใสอยู่ที่ 9.1เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีคอร์รัปชั่นน้อยมาก

น.พ.หทัยกล่าวว่า บุหรี่ที่ผิดกฎหมายเหล่านี้ไม่เพียงทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก แต่ยังทำให้ปริมาณการบริโภคในประเทศสูงขึ้น จำนวนผู้ที่คิดจะเลิกบุหรี่ก็ลดลง ขณะที่เยาวชนหน้าใหม่จะเข้ามาบริโภคบุหรี่สูงขึ้น มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากขึ้น ดังนั้นกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ต้องเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการกับปัญหาบุหรี่ปลอมและบุหรี่เถื่อนเหล่านี้ เช่นในประเทศอังกฤษ จะมีการบูรณาการ 2 หน่วยงานนี้เข้าด้วยกัน ตั้งเป็นองค์กรเพื่อดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ และมีหน่วยสืบราชการลับเพื่อจับกุมด้วย

ในส่วนของมาตรการห้ามธุรกิจบุหรี่ทำโฆษณาแฝงไปกับกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR นั้น น.พ.หทัยกล่าวว่า การทำ CSR เป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ที่แฝงด้วยรูปแบบของการให้สิ่งของและเงินทอง ซึ่งในแต่ละปีโรงงานยาสูบมีงบประมาณเพื่อการนี้ถึง 100 ล้านบาท และน่าเสียดายที่ปัจจุบันมีหน่วยราชการของไทย รับเงินจากโรงงานยาสูบจำนวนมาก แต่หลังจากนี้ไปโรงงานยาสูบคงไม่สามารถดำเนินการลักษณะนี้ได้อีก

 

สรรพสามิตจับมือหลายหน่วยทำเป็นยุทธศาสตร์

 

 

ด้านนายธนาชัย รอดศิริ ผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงานของกรมสรรพสามิต การดำเนินการการควบคุมยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า กรมสรรพสามิตได้ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ล่าสุดเมื่อปี 2552 จาก 80 เปอร์เซ็นต์ เป็น 85 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาบุหรี่ซองสูงขึ้น แต่ปัญหาพบว่าการบริโภคของประชาชนไม่ลดลง โดยเฉพาะผู้สูบหน้าใหม่และผู้หญิงกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ก็จะหันไปสูบบุหรี่ที่มีราคาถูกลง และบางส่วนก็จะหันไปสูบยาเส้น ดังนั้นการขึ้นภาษีบุหรี่อย่างเดียวคงไม่สามารถแก้ปัญหาการบริโภคได้

ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีต่างๆทุกภาคส่วน จึงร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์ในการควบคุมการบริโภคและปราบปรามบุหรี่เถื่อนขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำเข้าครม.ต่อไป ถือเป็นการใช้มาตรการภาษีควบคู่กับมาตรการทางสังคม โดยสุดท้ายอาจต้องมีการออกกฎหมายมาบังคับใช้ เช่น ภาษีเพื่อลดการบริโภคยาเส้นที่ขณะนี้เสียภาษีเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม และยาเส้นพื้นเมืองไม่เสียภาษี หรือใบอนุญาตร้านค้าปลีกบุหรี่ยาเส้น ที่ตามพ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 กำหนดค่าธรรมเนียมไว้แค่ 20 บาทต่อไปใบอนุญาตต้องแพงขึ้น รวมทั้งแก้ไขเรื่องปริมาณการนำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศ ที่แต่เดิมให้นำเข้าได้ไม่เกิน 200 มวน ขณะที่ฮ่องกงจำกัดไว้ไม่เกิน 19 มวนเท่านั้น

นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขปราบปรามถือการลักลอบผลิตบุหรี่เถื่อนทั้งที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านและลักลอบผลิตในประเทศ ซึ่งจะมีขนาดซอง รูปแบบ ตราสัญลักษณ์ และแสตมป์อากรของกรมสรรพสามิต เหมือนบุหรี่ที่ถูกกฎหมายทุกประการ

ด้าน พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รองผบก.ปศก. กล่าวว่า การแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนควรได้รับการผลักดันให้เป็นวาระเพื่อดำเนินการที่สำคัญ นำไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานร่วมกับศุลกากร มีการจับกุมเรือที่ลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนได้ปีละ 8 ล้านมวน และที่ผ่านมาได้รับหนังสือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มุ่งเน้นการจับกุมบุหรี่และเหล้าเถื่อนมากขึ้น แต่ปัญหาที่พบขณะนี้คือกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมีจำกัดทำให้ยังดำเนินการได้ไม่เต็มที่ แต่พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนของภาคีทางสังคมในเรื่องนี้

 

จวกบริษัทบุหรี่ทำซีเอสอาร์ผิดทาง

 

น.พ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมควบคุมโรคถือเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมการบริโภคบุหรี่ ซึ่งมีอันตรายต่อสุขภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ เพื่อนำไปสู่การควบคุมและคุ้มครองผู้บริโภคให้มากที่สุด ดังนั้นการที่ครม.มีมติเรื่องนี้ออกมา ก็จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปดำเนินการ เช่น การห้ามการโฆษณาผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ทางกรมควบคุมโรคได้หารือกับรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการออกระเบียบการติดต่อกับกระทรวงสาธารณสุขว่า ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอนอย่างไร เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการล็อบบี้ของบริษัทผู้ค้าบุหรี่ รวมถึงระเบียบการควบคุมการรับบริจาคเงินจากโรงงานยาสูบ ที่ให้แก่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ

 

“การที่บริษัทบุหรี่ใช้ CSR ทำการตลาด คือการแทรกแซงทางใจ ที่ได้ผลกว่าการโฆษณา ดังนั้นเราจะเห็นเหล้าบางยี่ห้อออกมาบอกให้คนทำความดี หรือใช้ชีวิตที่ท้าทาย ขณะที่บางประเทศบริษัทบุหรี่โฆษณาว่าการสูบเป็นการแสดงความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง” น.พ.นพพรกล่าว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: