ภาคกลางบังคับ‘ขอทาน-แรงงาน’ ภาคเหนือ ‘ค้ากาม’ มากที่สุด
ด้วยความแตกต่างทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ โอกาส ทำให้คนเราต้องดิ้นรนเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอด อาจเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว หรือเพื่อครอบครัวอีกหลายคน ปัจจัยเหล่านี้เป็นช่องว่างทำให้เกิดการเอาเปรียบ การหลอกลวง การข่มเหงรังแก ฯลฯ และในที่สุดคนเหล่านั้นก็ตกเป็นเหยื่อของคนที่ฉวยโอกาส
ศูนย์ปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ที่ทำงานต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศไทยมานานหลายปี สรุปรายงานการค้ามนุษย์ประเทศไทย ประจำปี 2554 โดยแยกประเภท ของการค้ามนุษย์ออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง, การค้าประเวณีที่เข้าข่ายเป็นการค้ามนุษย์, การบังคับเด็กให้ขอทาน และการค้ามนุษย์ในรูปแบบอื่นๆ มีสถิติของการได้รับแจ้งและการช่วยเหลือตั้งแต่เดือน มกราคม 2554-เมษายน 2555 มี 252 กรณี ในจำนวนนี้เป็นการบังคับขอทานมากที่สุด 182 กรณี แรงงานประมง 43 คดี และ บังคับค้าประเวณี 15 กรณี
.jpg)
ขณะที่รายงานประจำปี 2554 ของหน่วยงานประสานงานเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ภาคเหนือตอนบน ประเทศไทย (Trafcord) มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก (Focus) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 – ธันวาคม 2554 รับแจ้งเหตุ 113 กรณี แบ่งเป็น กรณีเข้าข่ายค้ามนุษย์ 50 กรณี เป็นการค้าประเวณี 29 กรณี แรงงาน 11 กรณี ขอทาน 4 กรณี กลุ่มเสี่ยงค้ามนุษย์ 6 กรณี ในจำนวนนี้ยังมีกรณีการค้าประเวณีทั่วไป 3 กรณี ขอทาน 4 กรณี เอาเปรียบแรงงงาน 11 กรณี ละเมิดทางเพศเด็ก 16 กรณี ทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรมทั่วไป 8 กรณี และอื่นๆ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ติดตามบุคคลสูญหาย 21 กรณี
ข้อมูลของทั้งสองหน่วยงานซึ่งดำเนินการติดตาม และให้ความช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์พบว่า สภาพปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยในทุกพื้นที่ยังพบเห็นได้ในเกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ทีท่าว่าจะทุเลาลง ในรูปแบบการค้าที่ต่างกัน และมีความซับซ้อนของวิธีการและสภาพปัญหามากขึ้น สอดคล้องกับรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าในปีนี้จะอยู่ในช่วงกลางปี แต่ตัวเลขสถิติยังคงเคลื่อนไหว ซึ่งอาจคาดการณ์จากข้อมูลของทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวได้ว่า “กลุ่มค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคกลาง ที่ได้รับการช่วยเหลือส่วนใหญ่ เป็นการนำพาเด็กมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขอทาน การกดขี่แรงงานในภาคประมง ขณะที่ในภาคเหนือตกเป็นเหยื่อในการค้าประเวณีมากที่สุด”
เด็กไทยถูกตราหน้าว่าสมัครใจค้ากาม
น.ส.เดือน วงษา ผู้จัดการ มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก กล่าวระหว่างเปิดตัวหนังสือค้ามนุษย์ ที่จัดทำขึ้นจากประสบการณ์ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ว่า แนวโน้มการค้ามนุษย์โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังรุนแรงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี จากสภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง และความแตกต่างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการค้าประเวณีพบว่า มีเด็กไทยในช่วงวัย 13-18 ปี เข้าสู่ขบวนการค้าประเวณีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเด็กไทยที่เป็นผู้เสียหาย มักได้รับความสนใจน้อยกว่าเด็กชาวต่างชาติ เนื่องจากสังคมมองว่า เด็กสมัครใจเข้าสู่กระบวนการค้าประเวณี ซึ่งประเด็นที่ถูกละเลยจากองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือ ยังไม่มีการแก้ปัญหาหรือช่วยเด็กที่เป็นเหยื่อออกจากวงจรเลวร้าย ซึ่งต้องอาศัยสหวิชาชีพ ได้แก่ ตำรวจ ทนายความ นักสังคมสงเคราะห์ และองค์กรเอกชน
“ปีที่ผ่านมามีการอพยพเข้ามาของแรงงานจากประเทศพม่า และลาว ซึ่งมีบุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกชักชวนและล่อลวงเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ พบการแสวงประโยชน์ทางเพศ ได้แก่ การค้าประเวณีเด็กและผู้หญิงในสถานค้าประเวณี สถานบริการที่เปิดแอบแฝงค้าประเวณี มีทั้งเด็กหญิง เด็กชาย รวมถึงกลุ่มผู้หญิง ด้านแรงงานพบว่า มีการนำเด็กต่างชาติทั้งเด็กหญิงและเด็กชายชาวลาว จากชายแดนภาคเหนือและภาคอีสานเข้ามาค้าแรงงานในพื้นที่ภาคเหนือ มีการบังคับและการเอาเปรียบแรงงาน โดยทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน และใช้แรงงานในสถานที่ก่อสร้าง นอกจากนั้นยังมีขบวนการติดต่อชักชวน จัดหาเด็กจากประเทศพม่าเข้ามาขอทาน และพบว่าแรงงานไทยยังคงหลั่งไหลไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งแรงงานจำนวนหนึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกบังคับให้ทำงานผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญา ทั้งในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการแสวงประโยชน์จากการค้าประเวณี ซึ่งในปีที่ผ่านมาพบว่า ยังมีความต้องการและมีการตอบสนองของแรงงานไทยเดินทางไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง”
.jpg)
‘เชียงใหม่-เชียงราย-ตาก’เปิดค้ากามหลากรูปแบบ
สำหรับรูปแบบการค้าประเวณี จากรายงานสถานการณ์ขององค์กรเอกชน ด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ สรุปข้อมูลหลักๆ ไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่มีรายละเอียดทางด้านสังคม และสภาพพื้นที่ที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปแบบการค้าเท่านั้น ที่ดูเหมือนจะแตกต่างบ้าง เช่น ในรายงานของมูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก ระบุรายละเอียดของปัญหา ที่ได้จากการช่วยเหลือเหยื่อร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ว่า เด็กเชื้อชาติลาว จะเข้ามาค้าประเวณีในพื้นที่ จ.แพร่ จ.น่าน เด็กเชื้อชาติไทใหญ่ มีพื้นที่ค้าประเวณีที่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ ขณะที่เด็กเชื้อชาติกระเหรี่ยงและพม่า ถูกนำเข้ามาค้าประเวณีที่ จ.ตาก โดยเฉพาะในอำเภอตามแนวชายแดน รวมทั้งยังมีเด็กไทยที่เข้าสู่วงจรการค้าประเวณีทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
โดยธุรกิจเพศพาณิชย์ ที่เปิดกิจการประกอบด้วยสถานค้าประเวณี ที่มีลักษณะเป็นบ้านหรือห้องเช่า ร้านคาราโอเกะ ร้านอาหาร ผับ สถานนวดแผนโบราณ อาบอบนวด ปิดบังแอบแฝงค้าประเวณีแทบทั้งสิ้น ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.พะเยา และ จ.ตาก มีเด็กทำงานร้านเต้นระบำโป๊ เปลือย หรือเต้นโคโยตี้ และนำไปสู่การขายบริการทางเพศ มีการเพิ่มขึ้นของร้านนวดเพื่อสำเร็จความใคร่ (นวดกะปู๋) พบได้ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า มีการนำเด็กชายและเยาวชนชาย อายุระหว่าง 15-25 ปี เข้าสู่กระบวนการค้าประเวณีมากขึ้น ในสถานร้านคาราโอเกะ ผับ และสถานบริการสำหรับลูกค้าซึ่งเป็นผู้ชาย และยังมีข้อมูลที่ชี้ว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ชักชวนเด็กผู้ชายไปถ่ายภาพอนาจาร และนำภาพลงในเว็บไซต์ ซึ่งมีลักษณะที่ส่อไปในทางเพศที่จ.เชียงใหม่ และเชียงราย
นอกจากนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจ.เชียงใหม่ เชียงราย ยังมีการเปิดเว็บไซต์ที่มีภาพและข้อมูลส่วนตัว ของเด็กและเยาวชนชายหญิง โฆษณาขายบริการทางเพศ หรือเรียกว่าการค้าประเวณีออนไลน์ บางครั้งจะให้เด็กเข้าไปโพสต์ภาพและข้อมูลติดต่อด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อบริการทางเพศเข้าไปยังเว็บไซต์ติดต่อนัดหมายซื้อบริการทางเพศ มีระบบการเข้าถึงข้อมูล โดยลูกค้าต้องจ่ายค่าสมาชิกเพื่อเลือกเด็กชายหรือเด็กหญิง หลังจากมีการตกลงกันแล้ว จะแบ่งรายได้จากการทำงานให้แก่ผู้ดูแลเว็บไซต์หรือผู้ติดต่อจัดหาด้วย
.jpg)
เด็กสาวถูกส่งข้ามโขงมาค้ากาม-ปมสำคัญเพราะความต่างทางเศรษฐกิจ
ส่วนขบวนการค้าประเวณีในพื้นที่ภาคอีสาน มูลนิธิกระจกเงาระบุในรายงานว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่ติดกับแม่น้ำโขง ตั้งแต่ หนองคาย นครพนม มุกดาหาร จนถึงอุบลราชธานี มักมีเด็กลาวถูกนำมาค้าบริการทางเพศ ตามสถานบริการต่างๆ ขณะเดียวกันจังหวัดชายแดนลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะด้าน จ.หนองคาย มุกดาหาร สุรินทร์ และศรีสะเกษ ยังเป็นทางผ่านให้ “นักล่าประเวณีเด็ก”จำนวนมาก ข้ามแดนเข้าไปซื้อบริการทางเพศเด็กในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
ซึ่งในรายงานยังวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงของสถานการณ์การค้าประเวณี ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเชื่อว่า สภาพภูมิประเทศที่ติดกัน สามารถเดินทางข้ามแดนไปมาได้ไม่ยาก ประกอบกับความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ทำให้เกิดเป็นแรงจูงใจสำคัญ ที่ส่งผลให้มีเด็กจากประเทศเพื่อนบ้านถูกส่งเข้าสู่ขบวนการขายบริการทางเพศอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการขายบริการในบริเวณชายแดนฝั่งไทย ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจการค้าประเวณีเด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับความนิยม เชื่อว่ามาจากลักษณะรูปร่างภายนอก และความสดใสของเด็กสาวจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากกระแสสังคมสมัยใหม่ ทำให้กลายเป็นที่ต้องการของกลุ่มลูกค้ามากกว่าเด็กไทย ประกอบกับการติดต่อสื่อสารที่ไม่ยุ่งยาก สามารถพูดจาเข้าใจกันได้ง่าย และราคาการซื้อบริการที่ไม่สูง หรือบางแห่งสามารถซื้อบริการได้ในราคาถูกมาก ทำให้เด็กสาวเหล่านี้กลายเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดฝั่งไทยเป็นอย่างมาก
สลดส่งหญิงสาวจากพม่า-ลาวสู่ขบวนการค้ากามข้ามชาติ
นอกจากการค้าขายบริการในบริเวณชายแดนไทยแล้ว เด็กๆ เหล่านี้ยังถูกส่งตัวต่อไปค้าบริการยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก หรือถูกส่งตัวไปไกลถึงชายแดนภาคใต้ และอาจจะข้ามไปถึงชายแดนภาคใต้ ออกนอกประเทศไทยไปเลยก็มี ซึ่งข้อมูลนี้มีในรายงานทั้งของมูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก และงานวิจัยด้านการค้ามนุษย์ของอาจารย์นุกุล ชิ้นฟัก จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ระบุเหมือนกันว่า “ชายแดนภาคใต้เป็นอีกแหล่งหนึ่ง ที่ขบวนการค้ามนุษย์ใช้เป็นทั้งพื้นที่ปลายทางการค้าบริการทางเพศ หรือ เป็นจุดพักเพื่อเตรียมส่งออกหญิงสาว จากประเทศพม่าและลาว หรือแม้กระทั่งมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน เพื่อไปขายบริการในประเทศที่สามที่มีชายแดนติดต่อกันต่อไป”
นายศุภณัฐ อุทัยศรี ผู้ช่วยผู้จัดการมูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก ให้ข้อมูลกับศูนย์ข่าว TCIJ ว่า ปัญหาการส่งผู้หญิงทั้งจากไทยและประเทศเพื่อนบ้านไปค้าประเวณียังประเทศที่สามทางภาคใต้ เป็นขบวนการค้ามนุษย์ที่ยังคงเกิดต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก เคยให้การช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งถูกเพื่อนชายหลอกลวงไปขายที่ประเทศมาเลเซีย โดยเจ้าตัวไม่รู้เลยว่า เพื่อนชายที่ใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะหลอกไปเพื่อขายให้กับนายหน้าค้าบริการทางเพศในต่างประเทศ ซึ่งกรณีดังกล่าวเหยื่อถูกหลอกไปยังชายแดน ก่อนที่จะมีคนจากฝั่งประเทศมาเลเซียมารับช่วงต่อไป กระทั่งรู้ตัวว่าถูกบังคับให้ขายบริการ เหยื่อจึงพยายามติดต่อทางโทรศัพท์กลับมาหาครอบครัวเพื่อขอให้ช่วยเหลือ ซึ่งมีการประสานงานกันหลายฝ่าย ทั้งในส่วนขององค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย สถานทูต และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งของไทยและมาเลเซีย จนสามารถช่วยเหลือเหยื่อรายนี้มาได้สำเร็จ และขยายผลต่อเนื่องจนสามารถช่วยเหลือเหยื่ออื่นๆ ได้เพิ่มเติมอีก เป็นทั้งเด็กผู้หญิงชาวไทย จีน และพม่า
.jpg)
สุดโหดบังคับเหยื่อให้บริการแม้มีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลในหนังสือค้ามนุษย์ ซึ่งชี้ให้เห็นความโหดร้ายของขบวนการค้าประเวณีผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียด้วยว่า
“เหยื่อจะต้องทำงานตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่วันที่พวกเขาไม่สบายหรือตอนที่มีประจำเดือน สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องพกติดตัวตลอดก็คือ ลูกไก่ หรือฟองน้ำขนาดประมาณไข่ไก่ ที่จะต้องใช้เวลามีประจำเดือน โดยการสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อที่จะสามารถรับแขกได้ ขบวนการค้ามนุษย์โหดร้ายเกินกว่าที่เราจะคาดคิด พวกเด็กๆ ต้องทำงานตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงประมาณตีสี่ แต่ถ้าแขกพาออกไปข้างนอกหมายถึงว่าถึงตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง ไม่มีวันหยุด และไม่ได้ค่าตอบแทน เพราะเงินที่ได้ทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายให้กับเอเย่นต์เป็นค่านายหน้าที่พามาทำงาน ไม่มีอิสรภาพในการออกไปไหน ต้องอยู่ภายในบ้านพัก และที่ทำงานเท่านั้น เด็กทุกคนใช้ยาเสพติด ส่วนมากลูกค้าเป็นคนจัดหามาให้ในกรณีที่มีการพาไปค้างแรมข้างนอก ส่วนใหญ่เป็นยาอี ยาเค และยาไอซ์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และให้ทำงานได้นานขึ้น ทุกคนสูบบุหรี่จัดมาก”
แฉซ่องมาเลย์สุดโหดรับแขกวันละ 30 คน
ขณะที่ น.ส.ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยถึงรูปแบบการค้าประเวณีที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย ด้วยว่า หญิงสาวหรือเหยื่อ จะมีทั้งถูกหลอกลวงมาและมาทำโดยสมัครใจ เช่น หลอกว่าไปทำงานในร้านอาหาร ร้านนวดสปา ก่อนจะจัดเตรียมเอกสารเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้ บางครั้งก็จัดเป็นทัวร์เข้าประเทศไปในฐานะนักท่องเที่ยว ก่อนหลบหนีไปทำงานในซ่องซึ่งมีหลายระดับ ตั้งแต่ ซ่องป่า ซ่องตรอกเล็กๆ ไปจนถึงโรงแรมมีดาว การหาลูกค้าก็มีหลายแบบทั้งหาเอง จ่ายที่พักเอง หรือหาผ่านเถ้าแก่
“วิธีการล่าสุดที่นิยมในหมู่สาวไทยคือ ขายบริการทางเพศโดยติดต่อผ่านอินเตอร์เน็ต หากแขกหรือเถ้าแก่คนไหนสนใจก็ติดต่อได้ มีนายหน้าคนไทยคอยประสานงาน เป็นทริปงานสั้นๆ 7-14 วัน ค่าตอบแทนสูง นั่งเครื่องบินไปก็ยังคุ้ม หญิงสาวรายหนึ่งเล่าว่า ต้องจำใจไปขายตัว เพราะฐานะทางบ้านยากจน เริ่มแรกมาที่หาดใหญ่ นายหน้าหรือแมงดาจะพาไปมาเลเซียทางเรือ ซ่อนตัวในกระสอบป่าน ไปถึงก็ขายตัวเลย ไม่ทำก็โดนซ้อม บางคนก็ตาย ตัวเธอเองต้องอัพยาช่วย เคยรับแขกมากที่สุดวันละ 17 คน แต่เพื่อนบางคนรับเกือบวันละ 30 คน ขบวนการค้ามนุษย์นี้เป็นขบวนการใหญ่ มีเงินสะพัดมาก ทั้งยังมีเครือข่ายที่แข็งแรง ส่งขายหญิงสาวเป็นทอดๆจากหาดใหญ่ ด่านสะเดา จังโหลน กัวลาลัมเปอร์ ยะโฮร์บารู ไปถึงปลายทางที่สิงคโปร์” น.ส.ธนวดีกล่าว
.jpg)
ร้านเสริมสวย-ขายของชำแหล่งรวมเอเย่นต์ค้ากาม
สำหรับสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งค้าประเวณีของขบวนการค้ามนุษย์ ส่วนใหญ่พบว่ามักจะแฝงอยู่ตามร้านคาราโอเกะ หรือร้านนวด ในเขตแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนในพื้นที่ต่างๆ ส่วนสถานที่ที่มีเอเย่นต์ติดต่อและเป็นธุระจัดหาเพื่อค้าประเวณีคือ ร้านเสริมสวย ร้านขายของชำ โรงแรม และพนักงานโรงแรม เกสต์เฮาส์ รถสาธารณะ หรือรถรับจ้าง ขณะที่กลุ่มลูกค้าผู้ซื้อบริการทางเพศส่วนใหญ่ คือแรงงานทั่วไป นักธุรกิจ ข้าราชการบางกลุ่ม นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย และประเทศตะวันออกกลาง
“ถ้าเหยื่อเป็นเด็กและถูกบังคับให้ขายบริการ นายจ้างจะไม่ให้เด็กอยู่ในร้านคาราโอเกะ หรือร้านที่มีแขกมาเที่ยว แต่จะมีเอเย่นต์คอยขายเชียร์แขกให้ เมื่อลูกค้าต้องการจึงจะนำเด็กมาให้ ซึ่งเด็กเหล่านี้จะอยู่อีกที่หนึ่ง เป็นบ้านที่รวมเด็กๆ ไว้ในที่เดียว เพราะฉะนั้นเราจะไม่เจอเด็กพวกนี้ในร้านคาราโอเกะโดยตรง” นายศุภณัฐกล่าว
อย่างไรก็ตามด้วยสภาพพื้นที่ของเขตภาคเหนือตอนบนหลายจังหวัด รวมถึงชายแดนภาคอีสานที่มีสภาพพื้นที่เอื้ออำนวยต่อการลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว ทำให้เป็นโอกาสของกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ ที่นอกจากจะใช้พื้นที่เหล่านี้การแสวงหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีด้านการท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามา นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีชนกลุ่มน้อยมักถูกหลอกลวงให้ไปค้าประเวณีเป็นจำนวนมาก จึงเป็นพื้นที่ทั้งเป็นต้นทาง ทางผ่าน ที่นักค้ามนุษย์มักใช้เป็นพื้นที่แสวงหาประโยชน์ จากการหลอกลวงให้ค้าประเวณี หลอกให้เป็นแรงงาน และเป็นพื้นที่ปลายทางที่ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน ถูกหลอกให้มาเป็นเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์ด้วยเช่นกัน
ชี้น่าห่วงเพราะรัฐเมินแก้ปัญหา-จนท.รัฐรวมหัวด้วย
นอกจากนี้เป็นที่สังเกตว่า ในขบวนการดังกล่าว ไม่เพียงแต่มีกลุ่มคนที่ฉวยโอกาสหลอกลวงผู้หญิงเข้ามาร่วมในวงจรอุบาทว์นี้เท่านั้น แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐในส่วนต่างๆ ตามเส้นทางตั้งแต่การข้ามแดน การตรวจสอบเอกสาร การเข้มงวดจับกุม ฯลฯ มีส่วนรู้เห็นหรืออำนวยความสะดวกให้ โดยพบว่าแม้จะไม่ใช่กลุ่มคนที่ถูกหลอกลวงมาค้ากาม แต่เป็นกลุ่มของแรงงานเถื่อนที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายในแต่ละปี มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดลง หรือมีมาตรการที่จะสกัดกั้นอย่างจริงจัง ทั้งจากนโยบายรัฐบาลและการปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆ

จะเห็นได้จากรายงานของสื่อต่างๆ รวมถึงรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ต่างระบุตรงกันว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจค้าประเวณีข้ามชาติ และดูเหมือนจะควบคุมได้ยาก มีข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ซึ่งคลุกคลีกับการทำงานเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ระบุว่า มีหลายครั้งที่การทำงาน ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ในการวางแผนอย่างรัดกุม เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อสัมฤทธิ์ผล เนื่องจากหลายครั้งที่มีการประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย มักเกิดปัญหา “ข่าวรั่ว” ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าประเวณีรู้ตัวก่อนเสมอ
อีกทั้งสถานประกอบการเหล่านี้ ส่วนใหญ่แฝงตัวอยู่ในที่สามารถเข้าถึงได้ยาก ไม่เปิดเผย และกระจายตัวอยู่เกือบทุกจังหวัด จึงเป็นเรื่องยากที่จะปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ การให้ความสำคัญกับปัญหานี้ของนโยบายภาครัฐ และเจ้าหน้าที่ที่พบว่ายังมีอยู่ในระดับต่ำกว่าเรื่องอื่นๆ นั่นเอง
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ

