การโอน'เงินออม'ของคนต่างรุ่น เพิ่มความคุ้มครองกลุ่มเสี่ยงสูงวัย

เอมพงศ์ บุญญานุพงศ์ ศูนย์ข่าว TCIJ 25 ก.ย. 2555 | อ่านแล้ว 1610 ครั้ง

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับ สถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยนิฮอน (NUPRI) จัดการประชุมทางวิชาการบัญชีการโอนประชาชาติ (National Transfer Accounts) ภูมิภาคเอเชีย เรื่อง การโอนระหว่างรุ่น ประชากรสูงอายุ และการคุ้มครองทางสังคม : การนำเสนอผลการวิจัย NTA และการอภิปรายเชิงนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองทางสังคมในอนาคตของประชากรกลุ่มเสี่ยงในประเทศเอเชีย  เพื่อนำเสนอและอภิปรายผลการศึกษาและผลกระทบต่อนโยบายของประเทศในเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้นักวิชาการและผู้วางนโยบายได้มีโอกาสพูดคุยกันโดยตรง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดร.เอ็ดการ์ด โรดริเกซ (Edgard Rodriguez) องค์กรศูนย์การวิจัยเพื่อการพัฒนา  (International Development Research Centre : IDRC) ประเทศแคนาดา กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรสูงอายุขึ้นโดยมีเด็กน้อยลงและผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นทุกแห่งทั่วโลก รวมทั้งทวีปเอเชีย ซึ่งในเอเชียกระบวนการสูงอายุของประชากร มีผลมาจากการเกิดลงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความสำเร็จของโครงการวางแผนประชากรและวางแผนครอบครัว ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและในประเทศเอเชีย ส่วนใหญ่คาดว่าการลดอัตราการเกิดนี้ จะต่อเนื่องไปอีกนานในอนาคต ในขณะที่การที่ประชาชนอายุยืนยาวขึ้นจะเร่งให้ประชากรสูงอายุเร็วขึ้น

 

เวลาที่ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ช่วงชีวิตของการทำงานมีรายได้ จะยาวหรือมากกว่าช่วงที่ใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ในกรณีเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อมาตรฐานการครองชีพและการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ตรงกันข้าม เมื่อประชากรสูงอายุขึ้น (ประชากรส่วนใหญ่มีอายุมาก)จะกระทบกระเทือนเศรษฐกิจ ปริมาณแรงงาน การออม และการสะสมทุนตลอดจนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความยากจน รวมทั้งสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลประชากรวัยหนุ่มสาวและผู้สูงอายุในเอเชีย

 

องค์กรศูนย์การวิจัยเพื่อการพัฒนา(International Development Research Centre : IDRC) ประเทศแคนาดา ได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยระดับภูมิภาคที่ NUPRI ร่วมกับ TDRI ร่วมมือกับนักวิชาการและสถาบันวิจัยจาก 5 ประเทศในเอเชีย (จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) ศึกษาปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 2553 โดยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับนักวิจัยจากประเทศอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยโครงการวิจัยนี้ใช้กรอบคิดเรื่อง บัญชีการโอนประชาชาติ (National Transfer Accounts : NTA) ซึ่งพัฒนาโดยศาสตราจารย์ โรนัล ลี จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คเลย์ และศาสตราจารย์แอนดรู เมสัน จากมหาวิทยาลัยฮาวาย มาโนอา การวิจัยนี้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการเปลี่ยนแปลงทางประชากรใน 5 ประเทศในเอเชีย ในส่วนที่เกี่ยวกับกลไกทางการคุ้มครองทางสังคมสำหรับประชากรสูงอายุ

 

 

 

ศาสตราจารย์แอนดรูกล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายเกี่ยวกับNTAในมุมมองสากลว่า บัญชีเงินโอนประชาชาติ เป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่มาช่วยเติมเต็มข้อมูลการใช้และการสะสมทรัพยากรทางเศรษฐกิจของคนในวัยต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมสำหรับการโอนทรัพยากรของคนระหว่างรุ่นมาใช้ เพื่อการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประชากรกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งจะมีมากขึ้นในอนาคต ต้องมีการเตรียมความพร้อมของทุกช่วงวัย ทั้งวัยเด็ก วัยแรงงาน และวัยสูงอายุ ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน และสามารถยกระดับมาตรฐานการครองชีพสำหรับทุกคนได้ เป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าสำหรับอนาคต

 

ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่การดูแลผู้สูงอายุมักมาจากการโอนเงินระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นข้อดีของโครงสร้างครอบครัวในเอเชีย แต่ปัญหาตอนนี้คือ โครงสร้างประชากรแก่ตัวรวดเร็วมาก คนทำงานมีน้อยกว่าคนแก่ที่จะต้องเป็นภาระในการเลี้ยงดู ขณะที่ภาครัฐดูแลได้ในระดับหนึ่ง สำหรับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส ซึ่งก็ต้องเป็นการใช้เงินจากภาษีมาใช้จ่าย ดังนั้นคำถามในเชิงนโยบายคือ อาจจะต้องยืดอายุการทำงานของผู้สูงอายุที่ยังทำงานออกไป ซึ่งจะช่วยลดภาระลง เพราะคนแก่ที่ยังทำงานอยู่ก็ไม่ต้องเป็นภาระให้ลูกหลานเลี้ยงดู

 

ส่วนนโยบายอื่นก็ควรเพิ่มผลิตภาพของวัยทำงานในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเหลือเงินสำหรับการดูแลตัวเองในวัยสูงอายุ หรือวัยเกษียณมากขึ้น โครงการนี้เน้นเรื่องการโอนระหว่างภายในครัวเรือนและการโอนภาคเอกชนกับการโอนภาครัฐ การออมของไทยอาทิ ในส่วนของกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพนั้น มองว่ายังมีข้อน่ากังวลที่ควรต้องปรับปรุง เนื่องจากกำหนดอายุเกษียณไว้น้อยเกินไปที่ 55 ปี อัตราการสมทบต่ำ และเป็นระบบการจ่ายแบบกำหนดผลประโยชน์ไม่ใช่การจ่ายตามเงินที่จ่ายสมทบ ด้วยระบบแบบนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงที่มีประชากรสูงอายุมากกว่าวัยแรงงานก็จะเกิดปัญหา ขาดทุน แต่กองทุนชราภาพนี้จำเป็นต้องคงอยู่ โดยมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเพิ่มอายุเกษียณ เพิ่มอัตราเงินสมทบ และยกเพดานเงินสมทบให้เพิ่มขึ้นจาก 15,000 บาท เป็น 20,000 บาท เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้านนางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุเร็วมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น  ส่งผลกระทบทำให้ตลาดแรงงานตึงตัว และหากจะเพิ่มประชากรโดยคนหนุ่มสาวมีลูกมากก็เป็นไปได้ยาก และแทบเป็นไม่ได้เลย เมื่อประชากรเป็นข้อเท็จจริงที่ค้นพบ เราจึงมุ่งไปที่การเพิ่มคุณภาพประชากรตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงสิ้นอายุขัยของเขา นั่นคือ จะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพประชากร ตั้งแต่อยู่ในท้องจนกระทั่งถึงวัยชรา เพื่อให้ได้ประชากรคุณภาพ เมื่อถึงวัยทำงานก็เป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง พร้อมทั้งเตรียมตัวเป็นคนแก่ที่ใช้ชีวิตให้มีคุณภาพได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องทำให้สังคมทุกภาคส่วน ได้ตระหนักถึงผลกระทบของการเป็นประชากรสูงวัย ซึ่งไม่ควรคิดว่าแค่การดูแลคนแก่ แต่ต้องดูถึงว่าจะเตรียมคนหนุ่มสาวให้มีความมั่นคงในอนาคตอย่างไร สิ่งที่ต้องทำคือเรื่องทั้งการออมและการเพิ่มทักษะชีวิตด้วย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: