แฉบริษัทดิ้นนำเข้า'4เคมีเกษตรอันตราย' จ้องแก้กฎไม่ใช้หนังสือรับรองการผลิต กรมควบคุมฯชี้พิษรุนแรง-ทำทารกพิการ  อียูตีกลับอื้อผักผลไม้เปื้อนเคมี-ในรอบ3ปี

วรลักษณ์ ศรีใย ศูนย์ข่าว TCIJ 27 มี.ค. 2555 | อ่านแล้ว 5608 ครั้ง

 

กรมวิชาการเกษตรไม่เปิดข้อมูลสารอันตราย

 

พระราชบัญญัติวัตถุอันตรายฉบับปรับปรุง พ.ศ.2551 ได้กำหนดให้ทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรประมาณ 27,000 รายการ ต้องขึ้นทะเบียนใหม่ทั้งหมด เพื่อเป็นการควบคุมการนำเข้าและการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช มิให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศ ซึ่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะช่วยให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลความคุมวัตถุอันตราย สามารถปฏิเสธการขึ้นทะเบียนสารเคมีที่มีความอันตรายสูง โดยเฉพาะสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 4 ชนิดได้แก่ คาร์โบฟูราน (ฟูราดาน) เมโทมิล (แลนเนท) ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น ซึ่งมีพิษร้ายแรงและหลายประเทศทั่วโลกห้ามใช้ และปฏิเสธการขึ้นทะเบียนแล้ว ซึ่งสารเคมีทั้ง 4 ชนิดนี้ กรมวิชาการเกษตรได้บรรจุให้อยู่ในบัญชีวัตถุอันตราย 11 ชนิดที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่ปี 2547  แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีมาตรการในการควบคุมการนำเข้าแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งหมดนี้ หมดอายุลงในวันที่ 22 ส.ค.2554  และกรมวิชาการเกษตรได้มีคำสั่งอนุโลมให้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งหมดรวมถึงสารเคมีเฝ้าระวัง สามารถวางจำหน่ายได้จนถึงเดือนส.ค.2556 ซึ่งทำให้การนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ขณะที่กรมวิชาการเกษตรกำลังพิจารณาอนุญาต ให้มีการขึ้นทะเบียนสารเคมีอันตรายร้ายแรง 4 ชนิด ดังกล่าว โดยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณา ที่จะยืนยันความปลอดภัยของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ซึ่งขัดต่อมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มี.ค.2552 ที่ระบุว่า “ก่อนการประกาศขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรทุกประเภท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยขั้นตอนการขึ้นทะเบียน และข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณา ก่อนประกาศกำหนดรายละเอียดตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบก่อนการพิจารณาอนุญาต และให้นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียไปประกอบการพิจารณาเพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา”

 

งานวิจัยระบุชัดอันตรายร้ายแรงทั้ง 4 ชนิด

 

ข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถี ระบุว่า จากรายงานการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ของสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ณ วันที่ 15 พ.ย.2554 พบว่า บริษัทสารเคมีเกษตร 13 แห่งกำลังขอขึ้นทะเบียน คาร์โบฟูราน เมโทมิล และไดโครโตฟอส รวมทั้งสิ้น 23 ทะเบียน โดยสารเคมีเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาขั้นสุดท้าย ยกเว้นอีพีเอ็น ที่ยังไม่มีรายงานการขึ้นทะเบียนในปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการขอขึ้นทะเบียนเมโทมิลมากที่สุด ในกลุ่มสารเคมีเฝ้าระวัง จำนวน 12 ทะเบียน โดยบริษัทแห่งหนึ่งขึ้นทะเบียนเมโทมิล ถึง 4 รายการ

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ไทย เมื่อกลางปี 2554 โดย ดร.สุภาพร ใจการุณ และคณะ จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ยืนยันผลจากงานวิจัยอื่นๆ ทั่วโลกว่า คาร์โบฟูราน ไดโครโตฟอส อีพีเอ็น และเมโทมิล เป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่สมควรยกเลิกห้ามใช้โดยเร่งด่วน เพราะนอกเหนือจากที่มีระดับความเป็นพิษสูงมากแล้ว ยังมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ตกค้างในสิ่งแวดล้อมและตกค้างในพืชปลูกเกินระดับที่จะสามารถยอมรับได้

 

สารเคมีในเลือดเกษตรกรเกิน 50%-พบทารกพิการอื้อ

 

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย ให้สัมภาษณ์ศูนย์ข่าว TCIJ ถึงปัญหาการใช้สารเคมีในประเทศไทยว่า สารเคมีเป็นปัญหามานาน นโยบายเรื่องสารเคมีมักไม่ได้รับการตรวจสอบจากองค์กรพัฒนาเอกชนเหมือนเรื่องอื่นๆ ดังนั้นปัญหาจึงมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดกับเกษตรกรที่ใช้สารเคมีจำนวนมาก ตัวเลขการตรวจเลือดของเกษตรกรที่อยู่ในระดับเสี่ยงและไม่ปลอดภัย อันเนื่องมาจากการสะสมของสารเคมีเมื่อปี 2554 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อยู่ที่ประมาณ 53 % จากกลุ่มตัวอย่างสุ่มตรวจประมาณแสนตัวอย่าง

ซึ่งสถิติตัวเลขผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบกับสุขภาพที่เกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เด็กที่เกิดจากครอบครัวเกษตรกรที่ใช้สารเคมีจำนวนมากจะมีความพิการซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้สารเคมี เช่น  ปากแหว่ง  เพดานโหว่ นิ้วกุด  เป็นต้น

 

“ชาวบ้านที่เสียชีวิตเพราะการใช้สารเคมี มีจำนวนมาก ยกตัวอย่างเกษตรกรที่ปลูกพริกและใช้สารเคมีมาก เช่นในจ.ขอนแก่น เกิดขึ้นหลายราย ข้อมูลสถิติยืนยันชัดเจน ข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนที่ จ.เชียงใหม่ ก็มี  และมีการตรวจละเอียดมาก เคยลงไปตรวจปัสสาวะของเด็กในครอบครัวเกษตรกร ตรวจสุขภาพเด็กแรกคลอด พบการสะสมของสารเคมีในระดับที่เกิดอันตรายได้ทั้งสิ้น”

ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการใช้สารเคมีในประเทศไทย ซึ่งผู้อำนวยการไบโอไทยได้อธิบายรายละเอียดการใช้สารเคมีว่า ในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของสารเคมีมากที่สุด คือพื้นที่ราบภาคกลาง ที่เป็นพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีสูง และมีจำนวนประชากรเจ็บป่วยจากสารเคมีมากด้วย ซึ่งสะท้อนว่า พื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีสูง จะสะท้อนภาวะการเจ็บป่วยของประชากร จากกราฟแสดงตัวเลขผู้เจ็บป่วยจากการได้รับสารเคมี จากระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมามีตัวเลขเกินครึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเพิ่มขึ้นของโรคมะเร็ง ในประชาการโดยสถิติคนที่ตายด้วยโรคมะเร็งมีมากกว่าโรคอื่นนั้น สาเหตุหนึ่งมาจากการบริโภคอาหาร

 

EU ตีกลับผักผลไม้ไทยเกินครึ่งหลังพบสารเคมีตกค้าง

 

นายวิฑูรย์กล่าวว่า นอกจากปัญหาผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มาจากการส่งออก มีการรวบรวมสถิติของผักผลไม้ที่ประเทศไทยส่งไปขายในสหภาพยุโรป หรือ EU (EUROPE UNION EU) ซึ่ง EU มีระบบการสุ่มตรวจเรียกว่า Rapid Alert System for Food and Feed (RASFF) เป็นการแจ้งเตือนการนำเข้าผัก ผลไม้  ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการตรวจพบสารเคมีในสินค้ามากที่สุด เมื่อเทียบปริมาณการส่งออกกับประเทศอื่น เช่น ประเทศจีน ขณะที่ไทยส่งออกน้อยกว่าจีนหลายเท่าตัว ตัวเลขจากการแจ้งการนับเตือนสารเคมีกำจัดแมลงตกค้างในระบบ RASFF ระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือปี 2552 2553 และ 2554 ไทยถูกตีกลับพืชผักที่ส่งขาย EU ตลอดทุกปี ในปี 2553 ถูกตีกลับถึง 55 ครั้ง

 

“วิกฤตนี้สะท้อนว่า ขนาดสินค้าที่ส่งออกซึ่งมีกระบวนการตรวจสอบ ยังมีปริมาณสารเคมีเกินที่กำหนด ดังนั้นอาหาร พืช ผัก ผลไม้ที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ ไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรือ”

 

เมื่อปี 2554 ยุโรปประกาศจะดำเนินการห้ามนำเข้าผักผลไม้จากไทยโดยเด็ดขาด ซึ่งส่วนราชการของไทยได้ขอเจรจากับ EU ขอระงับการส่งออกผัก ผลไม้เอง หลังจากนั้นมีการดำเนินมาตรการตรวจสอบผักทุกชนิด และยังคาดโทษด้วยว่าหากตรวจพบว่า มีสารเคมีตกค้างจะยกเลิกการนำเข้าทันที

ทั้งนี้การแจ้งเตือนของ EU สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ที่ระบุว่า เมื่อกลางปี 2554 มีการตรวจพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึง 40 % และที่สำคัญ 33 % จาก 40 % เป็นคาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น ซึ่งเป็นสารเคมีร้ายแรงที่อยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตร ปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการส่งออกเป็นจำนวนมาก และเป็นปัญหาสำคัญต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของไทยในการพัฒนาไปสู่การเป็นครัวของโลก ที่สามารถผลิตอาหารอย่างเพียงพอ ได้มาตรฐาน และปลอดภัย

ชี้รัฐบาลหละหลวมปล่อยให้ขึ้นทะเบียนเพียบ

 

นอกจากนี้นายวิฑูรย์ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำลังเกิดวิกฤตในด้านนโยบายการควบคุมสารเคมี ซึ่งดูได้จากข้อมูลที่รัฐบาลปล่อยให้มีการขึ้นทะเบียนและใช้เครื่องหมายการค้า และชื่อการค้าของสารเคมีมากว่า 27,000 รายการ หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย มีการขึ้นทะเบียนสารเคมีนำเข้าประมาณ 2,000 รายการเท่านั้น  ซึ่งนายวิฑูรย์ระบุว่า เป็นเพราะกลไกความหละหลวมของระบบการควบคุม ซึ่งสารเคมีที่ต้องควบคุมส่วนใหญ่จะเป็นสารเคมีหนักที่กำหนดไว้ใน FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations หรือ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ) แทบทั้งสิ้น  ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายเรื่องการใช้สารเคมี รวมถึงการตรวจสอบบทบาทของบริษัทที่นำเข้าทางด้านจริยธรรมด้วย

 

“ช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายภาคประชาสังคมเริ่มเข้ามาตรวจสอบเรื่องสารเคมีมากขึ้น มีการกำหนดเป็นประเด็นสำคัญในเวทีสมัชชาแห่งชาติ ทำให้มีการปรับปรุงกฎหมายให้มีความขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถผลักดันให้มีการแก้ไข เรื่องคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยให้มีตัวแทนขององค์กรสาธารณประโยชน์เข้าไปเป็นตัวแทนในคณะกรรมการเพื่อร่วมกำหนดนโยบาย”

 

 

จี้แก้กฎหมายสกัดนำเข้าสารเคมีอันตราย

 

นายวิฑูรย์กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาคประชาชน เช่น เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายผู้บริโภค และภาคีที่เกี่ยวข้องได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อกรมวิชาการเกษตร กรณีที่วัตถุอันตรายที่หลายประเทศห้ามใช้แล้ว ไม่ควรจะอนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียน โดยเฉพาะ 4 ชนิดที่เป็นสารเคมีสำคัญ คือ คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น ซึ่งมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนถึงผลกระทบจึงขอให้ยกเลิก 4 ชนิดนี้ก่อน เนื่องจากในต่างประเทศ ไม่มีการใช้แล้ว ยกตัวอย่างคาร์โบฟูราน อเมริกาที่เป็นประเทศผู้ผลิตได้สั่งห้ามใช้ในประเทศแล้ว และหลายประเทศทยอยสั่งห้ามใช้เหมือนกัน ในขณะที่ประเทศในยุโรปหลายประเทศห้ามใช้มาก่อนหน้านี้ ล่าสุดคือ จีนก็ห้ามใช้แล้ว

 

“ตอนนี้กลายเป็นว่า บริษัทพยายามที่จะดิ้นเพื่อหาเหตุผล เพื่อขอขึ้นทะเบียนให้ได้ โดยการร่วมมือกับคนในหน่วยงานราชการบางส่วน เพื่อหาช่องโหว่ของระเบียบและกฎหมายคือ คาร์โบฟูราน แต่เดิมนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาและจีน แต่เมื่อ 2 ประเทศที่ส่งออกประกาศห้ามใช้ ทำให้กฎหมายไทยต้องห้ามนำเข้าสารเคมีเหล่านี้จากประเทศนั้นๆด้วย แต่บริษัทที่ขายสินค้าเหล่านี้ ใช้วิธีหลีกเลี่ยงด้วยการขอขึ้นทะเบียนคุม ดังนั้นคาร์โบฟูรานจึงมาจากหลายประเทศที่เป็นแหล่งผลิต ที่พบคือมาจากอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียยังไม่ประกาศห้ามใช้ ณ ปัจจุบัน โดยบริษัทนำเข้าพวกนี้ จะไปตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนขึ้นที่อินโดนีเซีย โดยการหลีกเลี่ยงระเบียบ อันนี้เป็นความฉ้อฉล  คือเป็นความไร้จริยธรรมของบริษัทรวมถึงกระบวนการที่จะขึ้นทะเบียนด้วย ถ้าหากมีการยินยอม  เท่ากับมีการฉ้อฉล ไม่โปร่งใส ไม่ดำเนินไปตามกติกา และขณะนี้มีความพยายามจะขอแก้ระเบียบที่ว่า ถ้าประเทศไหนเป็นผู้ผลิตสารเคมี แต่ไม่สามารถจำหน่ายในประเทศได้ ประเทศไทยจะไม่อนุญาตให้มีการนำเข้า ซึ่งหากจะนำเข้ามาขายในไทยจะต้องมีหนังสือรับรองจากประเทศผู้ผลิต ซึ่งกำลังมีความพยายามจะแก้กฎระเบียบใหม่ โดยไม่ต้องใช้หนังสือยืนยัน”

 

กรมวิชาการเกษตรเปิดทางนำเข้าเกือบพันล้าน

 

ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ยังกล่าวถึงเหตุจูงใจที่มีการเร่งนำเข้า คือมูลค่าการนำเข้าทางการตลาด ที่คาดว่าจะสูงถึง 3,000 ล้านบาท เช่น คาร์โบฟูราน ต้นทุนกิโลกรัมละ 15 บาท นำเข้า 10 ล้านกิโลกรัม บรรจุถุงขายกิโลกรัมละ 60-80 บาท กำไรประมาณกิโลกรัมละ 4 เท่าตัว ปี 2554 ประเทศไทยมีมูลค่าการนำเข้า 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะได้กำไรประมาณ 800 ล้านบาท

“คิดว่าเรื่องนี้ คงจะปล่อยให้ข้าราชการประจำดำเนินการไม่ได้ เราจึงเรียกร้องให้ฝ่ายการเมืองเข้ามากำกับเรื่องนี้ให้เป็นไปตามที่แถลงต่อรัฐสภา หรือที่ประกาศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ซึ่งระบุไว้ชัดเจน ที่จะเป็นครัวของโลก และต้องยกเลิกการขึ้นทะเบียนการนำเข้าสารเคมี ที่หลายประเทศห้ามใช้แล้ว และให้มีการเปิดเผยข้อมูลของสารเคมีที่มีการขึ้นทะเบียนทั้งหมด ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ว่าเหตุผลเบื้องหลังของการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียน หรืออยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเฉพาะสารเคมี 3-4 ชนิดนี้ สมมติว่า กรมวิชาการเกษตรตั้งเป้าว่าจะขึ้นทะเบียน 4,000 รายการ ผมไม่เชื่อว่าหน่วยงานราชการจะมีกำลังพอที่จะไปดู น่าจะรอเอกสารที่บริษัทส่งมาให้ ซึ่งแทบจะไม่มีการตรวจสอบจากภาคราชการ การขึ้นทะเบียนเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า” นายวิฑูรย์กล่าว

 

ไทยติดอันดับใช้สารเคมีมากที่สุดในเอเชีย

 

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสารเคมีต่อเกษตรกรนั้น นายวิฑูรย์กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาจากการใช้สารเคมี ทั้งข้าราชการและบริษัท จะโยนความผิดนั้นให้กับเกษตรกร เช่น เกษตรกรใช้สารเคมีไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งการให้ความรู้กับเกษตรกรขั้นต้นในการใช้สารเคมีนั้น เป็นหน้าที่ที่กรมวิชาการเกษตรต้องทำ แต่ไม่มีการดำเนินการ เช่นกรณีสารเคมีอันตราย 4 ชนิด ที่มีการคัดค้านนั้น กรมวิชาการเกษตรสามารถจะห้ามใช้ได้ตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็น และยังมีตัวเลขชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศว่า สัดส่วนการปนเปื้อนของสารเคมีอันตราย  4 ตัวนี้ โดยเฉพาะ 2 ตัวแรก คือ คาโบฟูราน และเมทนิล มีสัดส่วนประมาณ 30-50 % ซึ่งทั้งสองชนิดนี้จะมีฤทธิ์แรง ค่ามาตรฐานความปลอดภัยจึงต่ำ ดังนั้นจึงเห็นส่วนเกินที่ตกค้างเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยค่อนข้างชัด อย่างไรก็ตามมีนักวิชาการที่เคยทดลองการใช้คาโบฟูราน และเมทนิล ตามค่ามาตรฐานคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร และเก็บเกี่ยวตามเวลา ปรากฏว่ายังพบสารตกค้างเกินค่ามาตรฐานถึง 10 เท่า

 

“คิดดูว่าเมื่อทำตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรแล้วยังตรวจพบ จึงไม่น่าแปลกใจว่าสินค้าการเกษตร ผักต่างๆที่ส่งไปยุโรปจะมีสารเคมีพวกนี้ตกค้างอยู่  ถึงแม้จะใช้อย่างถูกต้อง แต่ฤทธิ์ของสารเคมีเหล่านี้ ยังเกินระดับที่จะรับได้ ซึ่งควรจะมีการห้ามใช้อย่างเด็ดขาด”

 

สำหรับทางออกในระยะยาวนั้น นายวิฑูรย์มองว่าการจะแก้ปัญหาการใช้สารเคมีเหล่านี้ ต้องเปลี่ยนระบบการผลิตเป็นระบบที่ปลอดภัย สอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ต้องทำให้เกิดขึ้นเกินครึ่งประเทศ แต่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านที่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังใช้สารเคมีอยู่นั้น คงต้องมีทางเลือกที่ปลอดภัย  ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร ที่จะหาวิธีการทำให้ปลอดภัยกับชีวิตของเกษตรกรมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคือการเลิกใช้ให้เหมือนอารยประเทศ

 

“การใช้สารเคมีทำร้ายคน เป็นการฆ่าคนที่ป่าเถื่อน”

ส่วนสถานการณ์การใช้สารเคมีในต่างประเทศ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ ศึกษาแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญในเอเชีย พบว่าประเทศไทยมีปริมาณการใช้สารเคมีสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ขณะที่สหรัฐอเมริกาพยายามไม่ให้เกษตรกรใช้ยาปราบศัตรูพืช และมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสหรัฐอเมริกาจะตรวจสอบสารเคมีในพืชผักของตนเอง ในขณะที่ส่งสารเคมีเหล่านี้ไปจำหน่ายยังประเทศอื่นได้ นอกจากนี้นโยบายของประเทศอุตสาหกรรม และประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง ได้กำหนดให้คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น เป็นสารเคมีต้องห้าม ไม่สามารถผลิต นำเข้า ใช้ในพืชผลทางการเกษตรได้ เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง มีการใช้ที่ไม่เหมาะสมทำให้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค

 

ไทยหมดหวังเป็นครัวโลกพื้นที่เกษตรอินทรีย์ลดเหลือ 0.05 %

 

นายวิฑูรย์กล่าวอีกว่า ทางออกหนึ่งของการลดการใช้สารเคมีที่หลายประเทศทั่วโลก กำลังหันกลับมาเดินในแนวทางนั้นคือ เกษตรอินทรีย์ ซึ่งจากการทำงานตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาพบว่า พื้นที่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยลดน้อยลง โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ พื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับรองตามมาตรฐานมีจำนวนลดลงเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่พื้นที่การเกษตรของไทยมีประมาณ 130 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เหลือประมาณ 150,000 ไร่เท่านั้น ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน หรือประมาณ 0.05 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศ นับว่าเป็นสถานการณ์ที่แย่มาก และยังเกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตจากการใช้สารเคมี การพึ่งพาสารเคมีในระบบการผลิต ปัญหาสารเคมีที่แพงขึ้น หลายประเทศในโลกเปลี่ยนระบบการผลิตไปเป็นแบบอินทรีย์มากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป บางประเทศมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ เช่น สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์  หรือประเทศออสเตรีย ที่มีถึง 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว ประเทศเล็กๆบางประเทศอย่างเช่น ประเทศริคเก็นสไตล์ เป็นระบบเกษตรอินทรีย์เกินครึ่งประเทศ ขณะที่ประเทศไทยมีสภาพพื้นที่ที่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร มีน้ำ ทรัพยากรพร้อม แต่พื้นที่เกษตรอินทรีย์กลับลดลงและไม่อยู่ในฐานะที่ผลิตพลังงานได้ด้วยตนเอง และผู้บริหารประเทศยังไม่มีนโยบายที่จริงจังกับเรื่องนี้

 

“พื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นต่ำกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้มาก แต่เดิมเราตั้งว่าจะต้องเพิ่มให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี  ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 10 ว่า ประเทศไทยจะต้องเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ ใน 10 ปี ซึ่งในการปฏิบัติจริงทำไม่ได้”

 

นายวิฑูรย์กล่าวด้วยว่า นโยบายของรัฐบาลเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พื้นที่เกษตรอินทรีย์ลดลง เช่น โครงการรับจำนำข้าว โดยตั้งราคาในระดับสูงถึง 15,000 บาทต่อไร่ แทนที่จะผลักดันนโยบายปรับปรุงคุณภาพในการผลิต เพื่อผลักดันการแข่งขันให้ต่อสู้ได้ กลับไปตั้งราคารับซื้อสูง โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรในการรับซื้อ ซึ่งนโยบายเช่นนี้ จะไปสนับสนุนการใช้สารเคมีในการผลิต และสนับสนุนบริษัทที่ทำธุรกิจด้านนี้ เช่น บริษัทขายยาปราบศัตรูพืช และบริษัทเมล็ดพันธุ์พืช นอกจากนี้นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล ยังเป็นการตัดราคาบริษัท หรือผู้ประกอบการขนาดเล็กที่รับซื้อข้าวจากชาวนา

 

“ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ ในจ.สุรินทร์หาซื้อข้าวอินทรีย์เพื่อจะส่งไปขายที่ยุโรป หาซื้อไม่ได้แล้ว เพราะชาวนาใช้ที่ปลูกข้าวเพื่อเข้าโครงการรับจำนำราคาข้าว”

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: