ในที่สุดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็คลอดออกมาให้ใคร ๆ หลายคนได้รอลุ้นถึงอนาคตการทำงานภายใต้การนำของ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ เพราะแม้ดูจะไม่มีอะไรสับเปลี่ยนรุนแรงจนทำให้สะเทือนกันไปทั่วทุกหน่วยงาน แต่การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ก็ย่อมจะมีผลต่อตำแหน่งอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เป็นที่คาดว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเสนอชื่อเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ แต่เนื่องจากในวันนี้ไม่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี เนื่องจากยังไม่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณครม .ชุดใหม่ จึงต้องเลื่อนการเสนอออกไปก่อน
นายกฯยังไม่ฟันธงเก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานฯ
เก้าอี้หนึ่งที่ยังคงเป็นที่จับตากันมาตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นตำแหน่งสำคัญในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่าง เก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช ที่เจ้าของเดิมอย่างนายดำรงค์ พิเดช หรือ อธิบดีเอี้ยง เคยใช้เป็นฐานสำคัญฟันคนงาบที่ดินรัฐเอาไปทำสร้างบ้านพัก รีสอร์ท จนทำให้โด่งดังไปทั่วประเทศ เพราะนอกจากอำนาจในตำแหน่งอธิบดีที่ใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว บุคลิกแบบถึงลูกถึงคนของนายดำรงค์ ยังสร้างแรงสนับสนุนจากเอ็นจีโอสายสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง กลายเป็นกระแสโด่งดัง ถึงขนาดมีคนขอให้ต่ออายุราชการมาแล้ว และเมื่อถึงคราวที่นายดำรงค์ต้องออกจากตำแหน่งไปตามวาระ ภาระหนักจึงไม่เพียงจะตกอยู่ที่ว่าที่อธิบดีคนต่อไป ภายใต้ความคาดหวังสำคัญนี้แล้ว คนที่ดูเหมือนจะถูกจับตามองมากที่สุด กับภารกิจเลือกคนลงนั่งเก้าอี้นี้คงหนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรีอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือกใครสักคน มารับหน้าที่ต่อจากนายดำรงค์นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบเดือน แต่จนแล้วจนรอดดูเหมือนว่าจะยังไร้วี่แวว อธิบดีกรมอุทยานคนใหม่เสียที ทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งอื่น ๆ ได้ถูกคัดเลือกจับวางเป็นที่เรียบร้อย อธิบดีหลายกรมที่ถูกสับเปลี่ยนโยกย้ายขนของเข้าทำงานกันแล้ว แต่กรมอุทยานฯ ยังเงียบ เพราะในการประชุม ครม.ที่ผ่านมาหลายครั้ง หลังการเกษียณอายุราชการของนายดำรงค์ ก็ยังไม่พบว่ามีการพิจารณาหาผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนี้เสียที จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเก้าอี้สำคัญของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติตัวนี้ จึงทำให้นายกรัฐมนตรีไม่ยอมตัดสินใจเลือกใครสักคนมานั่งทำงาน
วงในชี้นายกฯไม่ฟันธงกลัวกระทบกลุ่มทุน
และในระหว่างช่วงสูญญากาศนี่เอง ทำให้มีข่าวซุบซิบออกมาหลายกระแส ข่าวหนึ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู ระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีไม่ยอมที่จะแต่งตั้งคนที่จะขึ้นมาดำรงค์ตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯคนใหม่ ซึ่งความคาดหมายแล้วน่าจะเป็นนายเริงชัย ประยูรเวช รองอธิบดี ซึ่งปัจจุบันรักษาการเก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานฯ อยู่นั้น เป็นเพราะส่วนหนึ่งนายกรัฐมนตรี อาจจะได้รับข้อมูลมาจากคนบางกลุ่มในรัฐบาลที่เคยมีส่วนในกรมนี้มาก่อนให้ข้อคิดเห็นเสนอแนะแบบใกล้ชิดว่า หากนายเริงชัย ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีฯ นโยบายทุบ รื้อ ถอน ที่เคยถูกนายดำรงค์วางไว้เป็นหลัก ให้ลูกน้องปฏิบัติจะยังเดินหน้าต่อ และท่าทีที่รุนแรงแบบเดินหน้าชนของกรมอุทยานฯ เช่นนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มทุน ที่มีส่วนในการสร้างฐานเสียงให้กับรัฐบาลได้ ซึ่งตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า หลังการไล่ทุบ ไล่รื้อเอาจริงเอาจังกับกลุ่มโรงแรมรีสอร์ท ทำให้มีกลุ่มทุนบางกลุ่มพยายามขอเข้าเจรจาแบบลับ ๆ กับนายกฯ มาแล้ว แต่ที่ดูรุนแรงกว่านั้นคือ ข่าวการลงขันร่วมกันระหว่างกลุ่มนายทุนในพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกทุบ ไม่ว่าจะเป็นวังน้ำเขียว หรือภูเก็ต เป็นจำนวนเงินสูงถึง 40 ล้านบาท เพื่อไม่ให้นายเริงชัยนั่งเก้าอี้ แต่ขอเป็นอธิบดีที่มีบุคลิกประนีประนอม มาเพื่อรับหน้าเสื่อแก้ปัญหานี้แทน
‘เริงชัย’ แป๊กเป็นแม่สายบัว
สำหรับ นายนายเริงชัย เป็นรองอธิบดีที่มีอาวุโสสูงสุด ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มากับนายดำรงค์ในเกือบทุกภารกิจ ทำให้เป็นที่ไว้วางใจของนายดำรงค์ รวมถึงลูกน้องป่าไม้ทั่วประเทศด้วย ตามธรรมเนียมปฏิบัติปกติแล้วนายเริงชัย จะเป็นผู้ที่ถูกเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีคนต่อไป หลังจากที่นายดำรงค์ พิเดช เกษียณอายุราชการ โดยนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ในฐานะรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องเป็นผู้นำเข้าสู่การประชุม คณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติตำแหน่งนี้ ซึ่งตามข้อมูลวงในแล้ว นายปรีชาเองไม่ได้มีปัญหากับตำแหน่งนี้ เช่นเดียวกับนายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ได้มีปัญหาต่อการขึ้นมาของนายเริงชัย
ที่ผ่านมาก็มีการรับส่งกันดีกับนายดำรงค์ในการเดินหน้าทำงาน โดยเฉพาะนายดำรงค์เองก็เคยเอ่ยปากว่าการทำงานที่ผ่านมาของตนถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ได้มีการเข้ามากดดันของรัฐมนตรี หรือ ปลัดกระทรวงฯ แต่อย่างใด แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีการอนุมัติเก้าอี้นี้ให้นายเริงชัย ซึ่งเจ้าตัวเองเมื่อถูกสอบถามถึงความรู้สึก ก็พยายามหลีกเลี่ยง โดยระบุว่า แล้วแต่การพิจารณาของนายกรัฐมนตรี แต่จะยังคงมุ่งมั่นทำงานตามนโยบายเดิมต่อไป เนื่องจากการทำงานของกรมอุทยานฯ มีภารกิจที่วางยุทธศาสตร์ไว้ชัดเจนแล้ว ว่าจะทำอะไร หนึ่ง สอง สาม ดังนั้นไม่ว่าตนจะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้หรือไม่ก็จะทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างดีที่สุด
ดัน ‘เกษมสันต์’ เพราะท่าทีประนีประนอม
ส่วนรายชื่อที่ถูกกล่าวถึงว่าน่าจะเป็นแคนดิเดท ในการเป็นตัวเลือกของนายกรัฐมนตรีเพื่อมาเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่นั้นมีแว่วออกมาไม่มากนัก แต่ที่ค่อนข้างหนาหูได้แก่นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปัจจุบันเป็นผู้ตรวจราชการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนหน้านี้เคยนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง มีความรู้ความสามารถด้านนโยบายและแผน เพราะเรียนจบมาด้านเศรษฐศาสตร์ เริ่มต้นชีวิตการทำงานและเติบโต ที่สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนจะข้ามห้วยมาทำงานที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะรองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนได้ตำแหน่งสูงสุดคือ เลขาธิการของหน่วยงานนี้ ก่อนที่จะถูกสับเปลี่ยนโยกย้ายเป็นผู้บริหารไปหลายกรม
ป่าไม้ทั่วประเทศบอกมีแต่ทฤษฎีปฏิบัติไม่เป็น
สำหรับผลงานในช่วงทำหน้าที่คุมบังเหียนกรมอุทยานฯ โด่งดังมาก เมื่อนำนักข่าวตามตรวจสอบจระเข้ที่เขาใหญ่ ติดตามนานอยู่หลายสัปดาห์ รวมถึงข่าวการจับกุมนักล่าสัตว์ป่า ที่เอาเนื้อค่างมาทำเป็นอาหารส้มค่างขาย จนทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะอธิบดีกรมอุทยานฯ แต่ไม่ใคร่มีงานด้านป่าไม้เป็นที่โดดเด่นมากนัก
อย่างไรก็ตามข่าวการเตรียมให้นายเกษมสันต์กลับมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ อีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่กระแสข่าวภายในระบุว่า นายเกษมสันต์ ไม่ได้รับการยอมรับจากข้าราชการกลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั่วประเทศเท่าใดนัก โดยเห็นว่านายเกษมสันต์ไม่มีความรู้ด้านนี้ แม้จะเก่งในเรื่องของนโยบาย แต่ไม่สามารถทำได้จริงในเชิงการปฏิบัติ และบางครั้งการให้สัมภาษณ์ของนายเกษมสันต์ สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จริง โดยระบุว่าเป็นการให้ข้อมูลตามตำรา แต่ขาดประสบการณ์จริง โดยเฉพาะการทำงานในพื้นที่ป่าเขาที่มีความยากลำบากในการเดินทางปฏิบัติหน้าที่ กระแสการเข้ามาของนายเกษมสันต์จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่อง จนกระทั่งมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า นายเกษมสันต์ถอดใจ ถึงขนาดขอถอนตัวไม่รับตำแหน่งนี้ เพราะทนแรงกดดันจากหลายทิศทางไม่ได้
‘ชลทิศ’ หลานอาปลอดมาแรง
นอกจากชื่อของนายเกษมสันต์แล้ว ยังมีชื่อของนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว รองอธิบดีกรมอุทยานฯ อีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนวนศาสตร์ รุ่น 37 รุ่นเดียวกับนายดำรงค์ ทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีกรมอุทยานฯ ผลงานส่วนใหญ่ยังไม่ปรากฏโดดเด่น เพราะเชื่อว่าหากรองอธิบดีคนนี้ขึ้นมาคุมตำแหน่งอธิบดีเอง เรื่องราวแรง ๆ ก็อาจจะบางเบาลงไปได้ แต่กลับยังมีชื่อเป็นแคนดิเดทติดมาด้วย เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ถูกวิจารณ์ว่า การที่ชื่อนายมโนพัศ ติดโผมาครั้งนี้ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมทิศทางการทำงานได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตามหลังการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว รายชื่อผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่ดูจะมาแรงที่สุดตอนนี้ คงต้องยกให้กับนายชลทิศ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมป่าไม้ หลานอานายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่นอกจากจะมีแบ็กดี ที่ปัจจุบันขยับขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ความรู้ความสามารถของนายชลทิศ ก็ดูจะไม่ขี้เหร่ เพราะทำงานเติบโตอยู่ในสายของป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะ กรณีเขายายเที่ยง ที่ถือว่าเป็นผลงานโดดเด่น แต่การข้ามกรมจากกรมป่าไม้ มากรมอุทยานฯ ที่ถึงแม้จะเป็นกรมพี่กรมน้อง แต่คงหนีไม่พ้นเสียงวิจารณ์ หากเผือกร้อนนี้จะหล่นใส่มือนายชลทิศ จริง ๆ
‘ดำรงค์’ ภาวนาอย่าให้กลุ่มทุนแทรก
สำหรับความคิดเห็นของนายดำรงค์ พิเดช เจ้าของเก้าอี้เดิมนั้น ไม่แสดงความคิดเห็นเด่นชัดนัก โดยชี้ให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ที่จะเฟ้นหาคนมานั่งตำแหน่งนี้ แต่ก็กล่าวว่า คนที่จะเข้ามาอยู่ในเก้าอี้อธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ ควรจะเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่จะดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างแท้จริง และไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทุนที่จะทำให้การเดินหน้าปราบปรามการรุกป่าสะดุดลง และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะพิจารณาคนดี มีความสามารถที่เป็นที่ยอมรับได้ทั้งในส่วนของคนในกรมอุทยานฯ เองและคนไทยที่รักผืนป่าทั่วประเทศด้วย
“แนวคิดผมตั้งแต่เข้ามาเป็นอธิบดี คือ ตำแหน่งต่าง ๆ ต้องได้มาจากความรู้ความสามารถ อย่ามาเพราะซื้อมา นายขอมาอะไรพวกนี้ เพราะเข้ามาแล้วก็ทำงานไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่ง อย่างพวกหัวหน้าอุทยานฯ มีขอมาเยอะ แต่ผมไม่ให้ ใครจะไปอยู่ที่ไหนต้องไปด้วยความสามารถจริง ตอนนี้ป่าจะหมดแล้วถ้าไม่เอาจริงเอาจังมันหมดจริงๆ” นายดำรงค์กล่าว
ลั่นเฝ้านโยบายรักษาป่าต่อ ถ้าผิดเพี้ยน ต้องทำอะไรสักอย่าง
ด้านความเคลื่อนไหวของตนเอง ซึ่งขณะนี้พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ มาได้หนึ่งเดือนเต็มนั้น นายดำรงค์กล่าวว่า ภารกิจส่วนใหญ่ยังคงออกปาฐกถาตามหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความสนใจกับภารกิจที่ผ่านมา เกี่ยวกับการทำงานด้านป่าไม้ เพื่อบอกเล่าประสบการณ์การทำงาน พร้อมชี้ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่าไม้ ซึ่งเชื่อว่าในไม่ช้าจะหมดประเทศแน่นอน ยกเว้นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ดังนั้นหากไม่อนุรักษ์พื้นที่นี้ไว้ ประเทศไทยจะไม่มีป่าให้คนรุ่นลูกหลานจริง ๆ ทุกวันนี้ยังไม่ชินกับการต้องตื่นนอนมาแบบไม่ต้องไปทำงาน แต่พยายามจะปรับตัว ปัจจุบันยังมีสื่อติดตามขอสัมภาษณ์ ออกรายการโทรทัศน์อยู่ แต่ก็จะพยายามเลือกเพื่อจะได้บอกเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรักษาป่า และทรัพยากรธรรมชาติมากกว่า เพราะดูเหมือนว่าหลังจากที่เคยบอกว่า หลังเกษียณจะกลับไปขายก๋วยเตี๋ยวที่เชียงราย ทำให้บางสื่อเชิญไปออกรายการอาหาร ประกบคู่กับ นักทำอาหารทั้งหลาย จนตนต้องปฏิเสธ เพราะไม่ได้เป็นคนทำอาหารเก่ง หรือชอบชิมอาหารมากมาย เกรงว่าตนจะกลายเป็นโลโก้ด้านอาหารไป
ส่วนอนาคตทางการเมืองที่ใครหลายคนพยายามสอบถามนั้น นายดำรงค์กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรมากนัก จะขอติดตามดูทิศทางการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายด้านการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป และพร้อมจะให้การสนับสนุนการเดินหน้านโยบายด้านการอนุรักษ์ต่อไป แต่หากมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปในทิศทางอื่น ก็อาจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
กระแสแรงแบบนี้ นายกรัฐมนตรีคงยื้อการแต่งตั้งตำแหน่งนี้ได้อีกไม่นาน ต้องจับตาดูว่า แจ๊กพ็อตจะไปตกลงที่ใคร เพราะงานนี้ถึงจะได้ตัวอธิบดีแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสั้นวันเดียวจบ แต่คงต้องดูไปอีกยาว ๆ เพราะกรมนี้ไม่ธรรมดา
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ