ปัจจุบันผมมีบัตรทุกอย่างถูกกฎหมาย แต่ปัญหาที่เจอ คือกระบวนการในการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้น ยังมีจุดอ่อนอีกมาก เพราะแรงงานไม่สามารถยื่นเรื่องขอพิสูจน์สัญชาติเองได้ ต้องผ่านกระบวนนายหน้าและโบรกเกอร์ที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
นี่เป็นตัวอย่างเสียงสะท้อนจากแรงงานพม่าที่อยู่ในประเทศไทย แม้ว่าจะสามารถแก้ปัญหาการพิสูจน์สัญชาติเพื่อทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยได้ แต่แรงงานเหล่านี้ ยังต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับขบวนการนายหน้า เพื่อให้ทันตามกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 ผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษ เพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเวลา 120 วัน
ซึ่งมติดังกล่าวจะครอบคลุมแรงงานเฉพาะแรงงานข้ามชาติ ที่เคยได้รับการผ่อนผันมาก่อนหน้านี้ และไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ทันตามกำหนดเวลาเดิม คือวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2555 รวมทั้งแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารใด ๆ เลย หรือไม่เคยได้รับการผ่อนผัน หรือได้รับการผ่อนผันแต่การผ่อนผันนั้นสิ้นสุดลงแล้ว รวมถึงลูกหลานของแรงงานข้ามชาติที่มีอายุไม่เกิน 15 ปีด้วย ก็เข้าข่ายตามมติครม.นี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงประเทศไทย ยังต้องการแรงงานที่ต้องทำงานหนักและลำบาก ในความคิดของแรงงานไทย เพราะงานบางประเภทแรงงานไทยปฏิเสธที่จะทำ เพราะเป็นงานที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ประมง ก่อสร้าง แรงงานภาคเกษตร แรงงานในอุตสาหกรรมหนัก หรือแม้กระทั่งคนทำงานตามบ้าน ก็ยังขาดแคลน ดังนั้นความต้องการแรงงานข้ามชาติเพื่อเข้ามาทำงานเหล่านี้มีเพิ่มขึ้น
แต่เดิมการจ้างงานแรงงานข้ามชาติ ใช้วิธีการจัดจ้างตามระบบเอ็มโอยู (MOU) ที่รัฐบาลไทยตกลงทำกับรัฐบาล 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา โดยนายจ้างที่ต้องการนำเข้าแรงงานข้ามชาติทั้ง 3 ประเทศนี้ ต้องยื่นคำร้องขอ เพื่อนำเข้าแรงงานข้ามชาติ และแจ้งความต้องการจ้างแรงงานเพื่อให้ได้โควต้า และเมื่อได้โควต้าแรงงานแล้ว นายจ้างต้องพาลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ ไปขอยื่นรับใบอนุญาตทำงาน โดยนายจ้างจะต้องดูแลการใช้งานแรงงานข้ามชาติ ดูแลการเดินทาง รวมถึงการยกเลิกการทำงานของแรงงานข้ามชาติด้วย
แต่ภายหลังได้มีการเปลี่ยนระบบ เพื่อให้แรงงานได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างเสรี โดยใช้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแทน โดยจากข้อมูลของกรมการจัดหางาน ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานที่ประเทศไทย และผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วประมาณ 87,000 คน แบ่งเป็นชาวพม่า 50,000 คน แรงงานกัมพูชา 70,000 คน ส่วนแรงงานลาวนั้นไม่มีการพิสูจน์สัญชาติเลย ทำให้ปัจจุบันเหลือแรงงานที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติประมาณ 300,000 คน
สาเหตุที่กระทรวงแรงงานไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติได้ทั้งหมด เนื่องจากแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานนั้นมีเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ระยะเวลาในการพิสูจน์สัญชาติที่รัฐบาลกำหนดไว้ ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้มีมติออกมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2556 ผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเวลา 120 วัน ซึ่งมติดังกล่าวจะครอบคลุมแรงงานเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่เคยได้รับการผ่อนผันมาก่อนหน้านี้และไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ทันตามกำหนดเวลาเดิม คือวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555 รวมทั้งแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารใด ๆ เลย หรือไม่เคยได้รับการผ่อนผัน หรือได้รับการผ่อนผัน แต่การผ่อนผันนั้นสิ้นสุดลงแล้ว รวมถึงลูกหลานของแรงงานข้ามชาติที่มีอายุไม่เกิน 15 ปีด้วย ก็เข้าข่ายตามมติครม.นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาเช่นนี้ อาจไม่ใช่หนทางที่จะแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติได้จบสิ้น
อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานจากองค์กรเครือข่ายที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant working group) กล่าวว่า แรงงานข้ามชาติที่สามารถเข้าถึงการดำเนินการตามมติครม.ได้ ต้องเป็นแรงงานที่มีนายจ้างแล้ว เพราะนายจ้างจะต้องเป็นผู้ดำเนินการยื่นเอกสารทั้งหมดภายในระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งหากรวมจำนวนตัวเลขของแรงงานข้ามชาติ 3 สัญชาติที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน รวมถึงลูกของแรงงานข้ามชาติ คาดการณ์ว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
“จากการคาดการณ์แล้ว ตัวเลขแรงงานข้ามชาติ ที่ตกค้างยังไม่ขึ้นทะเบียนมีจำนวนมาก น่าเป็นห่วงว่ากรมการจัดหางานจะดำเนินการได้ทันตามกำหนดเวลา 120 วัน หรือไม่”
นอกจากนี้ การระบุให้นายจ้างต้องส่งเอกสารความต้องการการจ้างงาน และสัญญาต่าง ๆ ภายในระยะเวลา 1 เดือน ถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างสั้นในการดำเนินการ ดังนั้นหากนายจ้างไม่รับรู้ข้อมูล ไม่ดำเนินการ หรือดำเนินการไม่ทันตามกำหนด แรงงานข้ามชาติจะไม่สามารถขอหนังสือเดินทาง หรือขอทำงานต่อไปได้ ซึ่งระยะเวลาที่สั้นและต้องเร่งดำเนินการนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่นายจ้างและแรงงานข้ามชาติ จะต้องดำเนินการผ่านบริษัทนายหน้า ที่รับดำเนินการขอจัดทำหนังสือเดินทางและขออนุญาตทำงานให้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในเรื่องค่าใช้จ่าย และการดำเนินการที่จะสูงขึ้นไปด้วย และท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนี้ ก็จะถูกผลักมาให้กับแรงงานเหล่านี้ และอาจมีแรงงานหลายคนไม่สามารถมีกำลังที่จะหาค่าใช้จ่ายมาดำเนินการตามกระบวนการได้
ชาวพม่าที่ทำงานในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ กล่าวถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากมติครม.ดังกล่าวว่า แรงงานข้ามชาติที่มีนายจ้างอยู่แล้ว อาจไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่กรณีของแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีนายจ้าง และอยู่ในภาวะสุญญากาศ จากการหานายจ้างใหม่ จะได้รับผลกระทบและไม่สามารถขอพิสูจน์สัญชาติได้ จนต้องถูกผลักดันกลับประเทศ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ของการที่แรงงานต้องหานายจ้างใหม่ อาทิ ค่าจ้างที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงก่อนทำงานและหลังทำงาน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำงาน เป็นต้น
“ยังมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ที่จะต้องเพิ่มขึ้น แรงงาน 1 คน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่องผ่านนายหน้าเกือบ 20,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สัญชาติประมาณ 6,000 บาทเท่านั้น”
แต่ข้อจำกัดคือ แรงงานข้ามชาติ ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ด้วยข้อจำกัดทั้งข้อกฎหมาย ภาษาที่ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ รวมถึงนายจ้างบางคนไม่เข้าใจ และไม่มีความรู้ในกระบวนการเหล่านี้ จึงทำให้ต้องดำเนินการผ่านนายหน้า และจากมติครม.ครั้งนี้ ที่มีการจำกัดระยะเวลา จะเป็นการเพิ่มอัตราการเติบโตของกระบวนการนายหน้าอย่างทวีคูณ
ดังนั้นทางแก้คือ รัฐควรหาแนวทางการพิสูจน์สัญชาติวิธีใหม่ โดยให้แรงงานสามารถยื่นเรื่องผ่านเจ้าหน้าที่รัฐด้วยตนเอง โดยมีล่ามคอยให้ข้อมูลกับแรงงานข้ามชาติในการเข้าไปยื่นเรื่อง และมีการดำเนินการไม่ควรยุ่งยาก ซับซ้อนเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้วรัฐควรมีระบบควบคุมบริษัทที่รับทำหน้าที่เป็นนายหน้ามิให้เรียกค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป และมีมาตรการลงโทษอย่างจริงต่อบริษัทนายหน้าที่ทำผิดกฎหมาย หรือเอารัดเอาเปรียบกับต่อแรงงานและนายจ้าง มิเช่นนั้นแล้วหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้การหาผลประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติก็คงไม่จบสิ้น ทั้งจากนายหน้า หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐไทย เจ้าหน้าที่รัฐจากประเทศต้นทาง และกระทั่งนายจ้างเองก็ยังเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติจากกระบวนการเหล่านี้ด้วย
จากการเก็บข้อมูลของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ พบว่า มีแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ที่จะต้องเสียเงินจากขบวนการนอกกฎหมาย และแม้กระทั่งนายจ้างในหลายบริษัท ก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติ โดยบางบริษัทเรียกรับเงินจากแรงงานด้วยการให้ข้อมูลที่ผิด ๆ ยังพบด้วยว่า บริษัทนายหน้าที่รับดำเนินการเรื่องการขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติ มีบริษัทที่จดทะเบียนเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้มากถึง 99 บริษัท และบางแห่งที่จดทะเบียนเป็นบริษัทที่มีเจ้าของเดียวกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเฟื่องฟูของธุรกิจดังกล่าว มิหนำซ้ำยังมีความเสี่ยงในการผูกการการดำเนินการ รวมตัวกัน เพื่อปั่นราคาในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานด้วย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ