เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 เมษายน ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค และโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้าน อาหารภาคประชาชน แถลงข่าวร้องขอความรับผิดชอบจากเนสท์เล่ ให้เรียกคืน “คิทแคท ชั้งกี้” ออกจากชั้นวางจำหน่าย เช่นเดียวกับที่ทำในหลายประเทศที่เป็นข่าวไปแล้ว พร้อมชี้แจงแก่สาธารณะให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาและวิธีการแก้ไขของบริษัท
จากกรณีที่มีข่าวเนสท์เล่สั่งเก็บคิทแคท 6 ชนิด โดยสมัครใจ หลังพบพลาสติกผสมอยู่ในเนื้อช็อกโกแลตที่เคลือบขนม โดยเลือกคืนสินค้าในประเทศอังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ มอลตา แคนาดา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย พร้อมให้ผู้บริโภคนำสินค้ามาคืนและรับเงินได้เต็มจำนวนภายใต้ข้อแม้ว่า หีบ ห่อของสินค้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีรอยฉีกขาดนั้น
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ได้รับเรื่องจากการประชุมผู้บริโภคของเครือข่ายผู้บริโภคภาคเหนือเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พบคิทแคท ชั้งกี้ ที่ซื้อจากห้างเทสโก้ โลตัส สาขาสิงห์บุรี มีพลาสติกผสมอยู่ในเนื้อช็อกโกแลตเคลือบขนม เช่นเดียวกับที่เป็นข่าวในต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมิได้จำกัดอยู่เพียงประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่อาจจะมีความเสี่ยงแบบเดียวกันกระจายอยู่ในทุกที่ ที่มีการจำหน่ายสินค้าชนิดนี้
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ผลิตควรแสดงความรับผิดชอบ และใช้มาตรฐานเดียวในการดำเนินการมากกว่าแค่รอให้เกิดเรื่องแบบเดียวกันขึ้นในประเทศอื่น แล้วค่อยแก้ไขปัญหาด้วยการคืนเงินค่าสินค้า การเรียกคืนสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะมีข้อมูลว่า พบสินค้าที่มีปัญหาแบบเดียวกันแล้วและจากข่าวยังมีข้อมูลอีกว่า มีการเรียกคืนสินค้าในประเทศมาเลเซีย ซึ่งคิทแคททั้งหมดที่จำหน่ายในบ้านเรา นำเข้ามาจากมาเลเซียทั้งหมด ดังนั้นเมื่อมีการเรียกคืนสินค้าในประเทศที่เป็นแหล่งผลิต การเรียกคืนสินค้าในประเทศที่เป็นแหล่งจำหน่าย เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่ต้องกระทำ นอกจากนี้ผู้ประกอบการสมควรแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงที่ไปที่มาของปัญหาอย่างเป็นทางการ พร้อมสิ่งที่บริษัทจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ด้วย สำหรับผู้บริโภคที่พบปัญหานี้ สามารถแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีได้” นายอิฐบูรณ์กล่าว
ด้าน นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความ ปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน กล่าวว่า การเรียกคืน (Recall) คำ นี้ตามกฎหมายไทย ไม่ได้ให้นิยามไว้ แต่เมื่อพิจารณานิยามการเรียกคืนผลิตภัณฑ์สุขภาพของสำนักงานอาหารและยา สหรัฐอเมริกาให้นิยามการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ว่า เป็นกระบวนการที่นำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาด ซึ่งอาจริเริ่มดำเนินการจากผู้ประกอบการ หรือตามที่สำนักงานอาหารและยาร้องขอ หรือโดยคำสั่งของสำนักงานอาหารและยา ซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย ส่วน The General Product Safety Regulations 2005 ของอังกฤษให้นิยามการเรียกคืนว่าเป็นมาตรการใดที่มีจุดมุ่งหมายนำผลิตภัณฑ์ซึ่งขายหรือทำให้แก่ผู้บริโภคแล้วนำกลับคืนมา
นายพชรกล่าวต่อว่า การเรียกคืนผลิตภัณฑ์คือ มาตรการใดที่เกี่ยวข้องกับการนำผลิตภัณฑ์ออกจากตลาด โดยผู้ประกอบการอาจใช้ความสมัครใจริเริ่มดำเนินการด้วยตนเอง หรือเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลร้องขอ หรือโดยคำสั่งจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งการเรียกคืนนี้อาจเป็นการเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือนำผลิตภัณฑ์เดิมไปซ่อมแซม หรือนำผลิตภัณฑ์ที่มีความชำรุดบกพร่องหรือไม่ปลอดภัยออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการทำลายผลิตภัณฑ์ที่มีการเรียกคืนเสมอไป หากสามารถเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ได้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามกฎหมาย ข้อกำหนดด้านสุขภาพและความปลอดภัย
“การเรียกคืนสินค้ากลุ่มอาหาร ผ่านการใช้อำนาจรัฐในประเทศไทย เท่าที่ทราบยังไม่ปรากฏ เนื่องจาก ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มิได้กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีอำนาจในการสั่งเรียกเก็บคืนสินค้าออกจากชั้นวางหากพบว่าเป็นอาหารที่มีปัญหา โดยกำหนดอำนาจไว้เพียงให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการยึดหรืออายัดอาหารหรือภาชนะบรรจุ ที่เก็บมาโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อได้ตรวจพิสูจน์เป็นที่แน่นอนว่า เป็นอาหารไม่บริสุทธิ์, อาหารปลอม, อาหารผิดมาตรฐาน, หรือเป็นภาชนะบรรจุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรืออนามัยของประชาชน หรือมีลักษณะไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐาน ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 6(6) และได้กำหนดให้ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบ หมายโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหารอาจสั่งทำลาย หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรได้ ตามมาตรา 44” นายพชรกล่าว
นายพชรยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย ทำให้การเรียกคืนสินค้าได้ถูกระบุไว้ ใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2556 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม ในสาระสำคัญเกี่ยวกับการเรียกคืนและทำลายสินค้าโดยมีการกำหนดให้ผู้ประกอบ ธุรกิจจัดเก็บสินค้าที่ยังไม่ได้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคกลับคืน หรือเรียกคืนสินค้าจากผู้บริโภค (มาตรา 36 วรรคสอง(1)) ให้ผู้ประกอบธุรกิจทำลายสินค้านั้น (มาตรา 36 วรรคสอง (5)) ให้ผู้ประกอบธุรกิจปิดประกาศ แจ้ง หรือโฆษณาข่าวสารเกี่ยวกับอันตรายของสินค้านั้นให้ผู้บริโภคทราบ หรือการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 36 วรรคสอง (6)) พร้อมให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามวรรคสอง (มาตรา 36 วรรคสาม)
ทั้งนี้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการตามมาตรา 36 วรรคสอง มาตรา 36 วรรค สาม ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้หากมีมาตรการใดเกี่ยวกับสินค้าตามมาตรานี้ ก็ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเช่นเดียวกัน จะเห็นว่ายังมีโอกาสที่จะมีการปรับแก้ พ.ร.บ.อาหาร ให้มีการให้อำนาจแก่อย. เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ สคบ. เพื่อให้เกิดการแก้ไขเชิงระบบ อันนำมาซึ่งการหลีกเลี่ยงปัญหาที่คล้ายกัน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์อื่นในภายหลังได้
จึงขอเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดำเนินการสั่งให้บริษัท เนสท์เล่ เรียกคืนผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ แล้วทั้ง 9 ประเทศ ตามที่เป็นข่าว และจะทำหนังสือถึง อย. ให้ข้อเสนอแนะในการเพิ่มเติมให้มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ระบุไว้ใน พ.ร.บ.อาหาร ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและอยู่ในกระบวนการพิจารณาโดยกฤษฎีกาด้วย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ