วาระทางการเมืองยังร้อน เพราะเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นช่วงสมัยเปิด-หรือปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เพราะชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการวาระเดียวคือ “กลับบ้าน” โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่มีความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือคดีที่ค้างคาอยู่ในองค์กรอิสระ
ดังนั้น เครื่องมือเดียวที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้าน จึงมีเพียง “กฎหมายนิรโทษกรรม” และ “พระราชบัญญัติปรองดอง” เท่านั้น
เส้นทางชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเวลานี้ จึงขึ้นอยู่กับการขับเคลื่อนให้กฏหมาย 2 ฉบับ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ฉบับหนึ่ง นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง (รักษาการนายกรัฐมนตรีคนที่ 1) ฉบับหนึ่งนำโดย วรชัย เหมมะ ส.ส.สมุทรปราการ
ร.ต.อ.เฉลิมจึงลงทุน “ขีดเส้นตาย” ทางการเมือง ไว้ 2 เส้น ในวันเกิดของตัวเอง (27 พฤษภาคม)
เส้นตายเส้นที่ 1 หากเสนอกฏหมายนิรโทษกรรม ไม่ผ่าน จะเลิกเล่นการเมือง
เส้นตายเส้นที่ 2 หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ครบเทอม สมัยหน้า จะเลิกเล่นการเมือง
ระหว่างนี้เขาจึงต้องสร้างผลงาน ทั้งในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และต้องสร้างผลงานในฐานะที่เขาเคยเรียกตัวเองในสภาผู้แทนราษฎรว่า “ขี้ข้าของทักษิณ”
ภารกิจบนดิน คือเคลื่อนไหวเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ในสภาผู้แทนราษฎร และเดินสายปราศรัย “เอาทักษิณกลับบ้าน” อีกรอบ
ภารกิจใต้ดิน คือเคลื่อนไหวในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จรยุทธ์เรื่องไฟใต้ และปัดเป่าอุบัติเหตุการเมืองที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น “ม็อบสนามหลวง” หรือ “ม็อบพันธมิตร” ที่ตั้งหลักเตรียมออกจากบ้านพระอาทิตย์ ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร เดือนสิงหาคมนี้
ท่ามกลางข่าวจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ และเครือข่ายไทยสปริง ที่เตรียมออกมาต่อต้านเต็มรูปแบบ
ร.ต.อ.เฉลิมจึงลงทุนเปิดประเด็น 3 นักธุรกิจยักษ์ใหญ่ ร่วมเป็นเจ้ามือล้มรัฐบาล คืองานจรยุทธ์ เปิดปมฝ่ายตรงข้าม แบบตีวัวกระทบคราด ปรามไม่ให้ม็อบ-และพันธมิตร เคลื่อนออกจากที่ตั้งโดยสะดวก
ตามสไตล์ของร.ต.อ.เฉลิม จึงพาดพิงฝ่ายตรงข้ามอย่างถึงลูกถึงคน กรณีบ้านเมืองมีม็อบเพราะนักธุรกิจ 3 คนให้เงินสนับสนุน จำแนกไว้ว่า คนหนึ่งเป็นนายธนาคาร คนหนึ่งเป็นพ่อค้า-เจ้าสัวเจ้าของกิจการค้าหมูเห็ดเป็ดไก่ คนหนึ่งเป็นเจ้าพ่อน้ำเมา
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวจากวงในใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยเป็นที่รู้กันในวงนักธุรกิจไทยว่า เครือข่ายที่เคยลงทุน สนับสนุนม็อบต้านพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ได้ “ผ่าน” การเจรจาลับ และตกลงเกี้ยเซี้ยกันไปเรียบร้อยแล้ว กับพ่อค้าทั้ง 3 เจ้า หลังพรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาลและอยู่นานถึง 20 เดือน
พ่อค้าเจ้าแรก นายธนาคาร ที่เคยจ่ายเงินผ่าน การบริจาคเงินถูกต้องตามกฎหมายให้พรรคประชาธิปัตย์ ผ่านคนในตระกูลโสภณพนิช อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2543-2552 ปีต่อมาจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้รายงานตัวเลข
มีเพียงข่าวที่กระซิบกันตามล้อบบี้โรงแรมหรูว่า กลุ่มนายธนาคารมีการชุมนุม ไม่ตอบรับแนวนโยบายการเงินของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ก็มีข่าวสำทับต่อท้ายว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรศัพท์สายตรงมาเคลียร์ใจไปนานแล้ว
พ่อค้าเจ้าที่สอง เจ้าสัวผู้ค้าทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ และธุรกิจคลื่นลูกที่สาม และเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เคเบิล ที่มีคนคาดเดากันว่าอาจเป็นค่ายใหญ่ย่านสีลม เช่นกันว่าข่าวนี้ มีการสำทับจากแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่บินไป บินมา ระหว่างดูไบ-กรุงเทพฯ เปิดวงสนทนากันว่า มีการนัดเจรจาต้าฮวย กันไปแล้วระหว่าง เจนเนอเรชั่นที่ 2 ของตระกูล “นายใหญ่” กับตระกูล “เจ้าสัว”
พ่อค้าเจ้าที่สาม ระดับเจ้าพ่อวงการน้ำเมา ซึ่งในเมืองไทย มี 2 เจ้าพ่อ 2 ตระกูล ที่มีตำนานเชื่อมโยงเครือข่ายอำมาตย์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 คือตระกูล “ภิรมย์ภักดี” ส่วนอีกตระกูลคือ “สิริวัฒนภักดี” นั้นได้รับนามสกุลพระราชทานมาเช่นกัน “แหล่งข่าวกล่าวกันต่อ ๆ ในสังคมเซเลบริตี้ว่า ความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนักธุรกิจรุ่นลูก สายเจ้าพ่อน้ำเมาตระกูลหลังนั้น ได้มีการเจรจาหย่าศึกไปแล้ว ต่อหน้าผู้มีบารมีทางการเมืองรายหนึ่ง
ภารกิจปล่อยข่าวของ “ร.ต.อ.เฉลิม” จึงเป็นแค่ฟืนเปียก ที่จุดไม่ติด
ก่อนหน้านี้ร.ต.อ.เฉลิม เคยปล่อยข่าวพาดพิงผู้อาวุโสเครือข่ายอำมาตย์ ว่าเป็น “แก๊งมือสั่น” เคยจัดวงเสวนาเพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาแล้ว แต่ข่าวนั้นก็กลายเป็นข่าวสั้นทันโลก ที่ไม่มีใครใส่ใจตามต่อ เพราะรู้มุขของเฉลิมว่า ต้องการโยนก้อนหินถามทางเท่านั้น
ไม่นับรวมข่าวปล่อยที่ออกจากมือ-ปากของ “ร.ต.อ.เฉลิม” เช่น เมื่อ 4 ปีก่อน (28 มกราคม 2552) ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวลอยๆ ว่า “มีการบุกรุกที่ดินบนเขาสอยดาว จ.จันทบุรี ได้ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 2532 แต่มาถูกคณะรักษาความสงบและเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจก่อน จึงต้องหยุดการตรวจสอบเรื่องนี้ไป แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง คดีกลับมาติดอยู่ที่อัยการ เขาลือกันว่ามีธนาคารบางแห่งสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ (ยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาล) และมีบริษัทน้ำเมาแห่งหนึ่งออกเงินให้เยอะแยะเพื่อมาล้มพวกผม”
ในเนื้อข่าวยังอ้างคำพูด ร.ต.อ.เฉลิม ว่า เขาพูดว่า “กรณีที่ดินเขาสอยดาวนี้ น่าสงสัยว่าคนในตระกูลโสภณพนิช เป็นผู้ครอบครองที่ดิน 4,000 กว่าไร่ และมี 400 กว่าไร่ที่บุกรุกป่าสงวน แล้วนายชาตรี โสภณพนิช ประธานแบงก์กรุงเทพ นำโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาจำนองกับธนาคารกรุงเทพ เพื่อกู้เงิน ซึ่งเป็นเงินฝากของประชาชน เพื่อเอามาซื้อที่ดินในบริเวณนี้ ผมท้าให้นายชาตรีฟ้องร้องได้เลย และใส่ชื่อ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้ในบัญชีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว”
คำกล่าวนี้ ถู คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในเวลานั้น ชี้แจงว่า เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวหาพาดพิงตระกูลโสภณพนิชซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ดังนั้นขอให้ไปเจอกันที่ศาลก็แล้วกัน
นอกจากปล่อยข่าวพาดพิง บุคคลที่มีฐานะทางการเงิน-ฐานะทางสังคม และเครือข่ายอำมาตย์แล้ว ภารกิจของ ร.ต.อ.เฉลิม ยังครอบคลุม ถึงการปล่อยข่าว ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ล่าสุดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขายังปล่อย-ปั่น ข่าวทำนองว่า จะเข้าไปนั่งในวงเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ด้วยตัวเอง เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ดูแลปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเต็มที่ โดยจะขอหารือกับผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ก่อน จะไม่มีการล้มโต๊ะเจรจา การพูดคุยยังต้องดำเนินต่อไป เพราะประเทศมาเลเซียมีความจริงใจในการอำนวยการพูดคุยให้
ทั้งหมดคือภารกิจ ของร.ต.อ.เฉลิม ที่อยู่บนเส้นตาย 2 เส้น กับภารกิจปล่อย-ปั่นข่าว ที่ล่อแหลม ที่อาจซ้ำรอยเหตุการณ์ “ให้ทหารกลับไปกวาดบ้านตัวเอง” และกรณี “ตู้ทองเคลื่อนที่” และจบด้วยการรัฐประหาร “พฤษภาทมิฬ” เมื่อ 21 ปีก่อน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ