เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กล่าวถึงการศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชน และกระบวนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจให้ก่อผลกระทบต่อชุมชุนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ (อีเอชไอเอ) กรณีโครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กบอ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งขณะนี้ขั้นตอนของการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ (อีเอชไอเอ) จากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งหากรายงานดังกล่าวไม่ผ่าน ก็ไม่ต้องสร้างเขื่อนแม่วงก์ และไม่ได้หมายความว่า รายงานดังกล่าวไม่สมบูรณ์แต่กระบวนการขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ รายงานดังกล่าวอาจจะต้องได้รับการแก้ไขอีกครั้ง และหากสผ.พิจารณาแล้วรายงานดังกล่าวไม่ผ่าน และเห็นว่าโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ไม่มีความเหมาะสม ก็อาจจะไม่มีการสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็ได้ และคงใช้เครื่องมืออื่นแทน
“ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีความต้องการสร้างเขื่อน แต่อยากแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง และเขื่อนก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าการสร้างเขื่อนจะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนการเลือกพื้นที่เขาสบกก มากกว่าการเลือกพื้นที่เขาชนกันทั้งที่พื้นที่เขาชนกัน สามารถรองรับปริมาณน้ำได้มากกว่านั้น เพราะการสร้างเขื่อนที่เขาชนกันจะกระทบต่อประชาชนถึง 2,000 ครัวเรือน แต่ในพื้นที่เขาสบกก มีประชาชนที่ต้องย้ายออกจากพื้นที่เพียง 30 ครัวเรือนเท่านั้น”
นายสุพจน์กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์ทางวิชาการ การสร้างเขื่อนแม่วงก์จะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้โดยจะสามารถตัดยอดน้ำจาก 1042 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือ 490 ต่อลูกบาศก์เมตรและจะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำแล้งได้อีกด้วย ขณะที่ผลกระทบต่าง ๆ จากการสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็ได้มีการศึกษาไว้แล้ว เช่น พื้นที่ป่า 12,300 ไร่ ซึ่งคิดเป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ของลุ่มน้ำทั้งหมดก็จะมีการปลูกป่าชดเชย เป็น 3 เท่าของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ คิดเป็น 36,000 ไร่ ส่วนอาคารต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยาน ก็จะมีการเปลี่ยนพื้นที่และจะมีการแก้ไขชดเชยที่ดินและทรัพย์สินจำนวน 15,742 ไร่ ยืนยันว่ามีการศึกษาก่อนการก่อสร้างในทุกมิติ ด้วยหลักการและเหตุผลอย่างชัดเจนและส่วนตัวเชื่อว่ารายงานดังกล่าวจะสามารถผ่านการพิจารณาของสผ. นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการเชิญนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร พร้อมด้วยทีมงานมาพูดคุย เพื่อรับฟังข้อห่วงใยต่าง ๆ ในการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งทางรัฐบาลยินดีจะรับพิจารณา และจะอธิบายในส่วนข้อกังวลที่ได้มีการศึกษามาแล้วและจะนำข้อเสนอที่ทางรัฐบาลไม่เคยศึกษามาก่อนไปพิจารณาต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ