น่าสนใจที่ข่าวฉาวในวงการพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นกับพระดังเป็นระลอกคลื่นในห้วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่กรณีพระมิตซูโอะ คเวสโก / กรณีพระเณรคำ ฉัตติโก / ตลอดจนกรณีพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ (ขายที่ดินคลินิกแม่ตาวที่แม่สอดของหมอซินเธีย หม่อง โดยมิชอบ ปรากฎเป็นข่าวเฉพาะในสื่อออนไล์ www.thaienews.blogspot.com และ www.nationchannel.com ) ไม่ได้ทำให้คนไทยศรัทธาต่อการเข้าวัดทำบุญกับพระสงฆ์ลดลงแต่อย่างใด เห็นได้จากทั้งปรากฏการณ์ในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา รวมทั้งผลสำรวจของนิด้าโพล
ต่อคำถามของนิด้าโพลที่ว่า “ข่าวฉาวของพระสงฆ์ในวงการพุทธศาสนาในขณะนี้ ทำให้ท่านมีความเชื่อมั่นในพุทธศาสนา” ...72.33 % ตอบว่าเท่าเดิมหรือไม่ลดลง 26.87 % ตอบว่าลดลง 0.80 % ไม่แน่ใจ ทีวีบางช่องต่อยอดผลสำรวจนี้ โดยการจ่อไมค์ถามพุทธศาสนิกชนในวัด ได้รับคำตอบที่ยืนยันผลสำรวจนี้
ในอดีต ก็เคยมีงานวิจัยบางชิ้นเสนอประเด็นเหตุผลของพุทธศาสนิกชนชาวไทยในการไปวัดและทำ บุญด้วยการบริจาคเงินและสังฆทานสิ่งของ พบว่าเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เพื่อให้ได้”บุญ” สำหรับตัวเองหรือสำหรับผู้ล่วงลับ ต้องการบุญในชาตินี้ หรือชาติหน้า หรือทั้งสองอย่าง อ่านงานวิจัยนี้แล้วจะรู้ว่า คนไทยมีทัศนคติต่อบุญเช่นเดียวกับทรัพย์ ที่สะสมได้แสวงหาได้ ดังนั้น ตัวกลางหรือพระสงฆ์ จึงเป็นแต่เพียง”พาหะ”
ที่จะนำส่งบุญไปสู่ที่หมาย อันอาจหมายถึงความสุขความสบายใจ ณ บัดเดี๋ยวนั้นด้วย และอันที่จริง สุขจากการให้และทาน หรือสุข ณ ปัจจุบันขณะ ก็เป็นธรรมะแก่นกลางของพุทธศาสนาที่คนไทยเข้าใจได้ถูกต้อง
ถ้าเรายอมรับได้ว่า สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว รวมทั้งโลกใบนี้ด้วย ชีวิตที่ต้องทำมาหากินและแยกส่วน ย่อมทำให้คนส่วนใหญ่เลือกทำบุญตามเทศกาลวันหยุด ด้วยวิถีทางตรงคือไป”วัด” และทำบุญกับ ”พระ” ด้วยปัจจัยที่ง่ายทันด่วนทีสุดคือ ”เงิน” เช่นเดียวกับที่คิดถึงการออกกำลังกาย ด้วยการไปฟิตเนส หรือซื้อเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อมาใช้ตอนดูทีวี แม้กระทั่งการกดไลค์ได้บุญกันทางออนไลน์ เราก็คงไม่อาจชี้ได้ว่าผิดบาปอะไร ก็อาจจะเป็นอย่างที่นักวิชาการบางท่านอธิบายว่า พุทธศาสนิกชนไทยมีความรู้เกี่ยวกับพระธรรมคำสอนและวัตรปฏิบัติที่ถูกต้องของพระ น้อยมาก และอาจเป็นด้วยพุทธศาสนาแบบไทยๆ ที่ปนเปไปทั้งไสยศาสตร์และความเชื่อ จนยากจะขีดเส้นแบ่งว่า อะไรไม่ใช่พุทธและอะไรคือพุทธแท้ รวมไปถึงสังคมไทย ที่ไม่เปิดให้มีการถกเถียงถึงสถาบันหลักของชาติ ซึ่งรวมถึงเรื่องศาสนา
สังคมไทยได้เผชิญกับข่าวฉาวเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์และวัดดัง จนถึงขั้นหลอกลวงฉ้อโกงมานับครั้งไม่ถ้วน นับถอยหลังไปได้ 20-30 ปี น่าแปลกใจอยู่บ้าง(สำหรับตัวดิฉันเอง) คือ สื่อจะปั่นเป็นกระแสขึ้นมาต่อเมื่อข่าวฉาวนั้นมีแง่มุมเกี่ยวกับ”สีกา” หรือพูดอีกทีคือ เป็นข่าวที่จุดติดเพราะคนไทยรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ด้วยเหตุอะไรก็ช่างเถอะ แต่สำหรับเรื่องอย่างพระฮุบที่ดินคนอื่น พระจ่ายเงินวิ่งเต้นพัดยศ พระอวดอุตริมนุสธรรมถึงขั้นตีความ”นิพพาน”ผิดไปจากพระไตรปิฎก ตลอดจนวัดที่ทำมาค้าขายเครื่องรางของขลัง วัดที่ทำวัดให้เป็นที่จอดรถ และอื่นๆอีกมาก กลับไม่ได้รับการติดตามสืบเสาะเสนอข่าวจากสื่อ หรือไม่มีการเม้าการเม้นกันเท่าที่ควร ในขณะเดียวกัน เงื่อนไขที่จะทำให้พระชั่วกระเด็นออกไปจากสังคมไทยพุทธอันดีงามได้ สังเกตว่าต้องเป็นเรื่องสีกาเป็นหลัก อย่างกรณีอดีตพระยันตระ อดีตพระนิกร จนถึงอดีตพระเณรคำ ถึงขั้นที่หน่วยงานสำคัญของรัฐต้องออกมา”จัดการ” ด้วยข้อหาฉกาจฉกรรจ์หลายข้อหา พร้อมด้วยการมีส่วนร่วมในกฐินสามัคคีชี้ความผิดเณรคำกันไม่เว้นแต่ละวัน เป็นกระแสข่าวจนถึงบัดนี้กว่าเดือนทีเดียว
ท่ามกลางกระแสข่าวฉาวของพระดังรูปต่างๆ แม้แต่ย้อนไกลไปในอดีต ดิฉันไม่เคยได้เห็นการแสดงท่าที จุดยืน หรือการอธิบายความใดๆ จากองค์กรศาสนาที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรงต่อพระและวัด ซึ่งสมควรคาดหวังได้ว่า เป็นองค์กรที่มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย หลักปรัชญาศาสนาพุทธ ดีกว่าใคร นั่นคือ มหาเถรสมาคม (มส.) และ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อ educate หรือตอบข้อกังขา ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมสักเรื่องเดียว เอาง่ายๆ ก็ได้ เช่น ความรู้เกี่ยวกับเหตุแห่งอาบัติปราชิกข้อ 2 ว่าด้วยการถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้นั้น ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าบัญัญัติว่า ไม่ให้เกิน "1กหาปณะ" อันเป็นหน่วยเงินอินเดียโบราณ ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยกรมสมเด็จพระวชิรญานวโรรส ได้ให้อรรถาธิบายว่า น่าจะคำนวณเป็นค่าเงินไทยในสมัยนั้น ประมาณ 5 บาท หรือเกินกว่า"วิสาสะ". คือ เขาไม่ได้ให้ และตัวไม่ได้ขอ... เป็นต้น แค่นี้ก็เพียงพอให้ชาวพุทธได้คิดต่อเองด้วยสติปัญญา หากแต่ เราได้เห็นแต่เพียงความเงียบ แม้แต่เรื่องใหญ่ระดับวัดธรรมกายไล่รื้อที่ดินชาวบ้าน เรื่องใหญ่อย่าง(อดีตวัด)สันติอโศก ตีความพระไตรปิฏกเอาเอง
หรือว่าท่านเข้าถึงธรรมวางอุเบกขาว่า“มันเป็นเช่นนั้นเอง” ก็มิทราบได้ ปล่อยให้ข่าวฉาวและ”ความผิดปกติ”ของวงการศาสนาพุทธไทย เงียบหายไปเอง และปล่อยให้พุทธศานิกชนไทยแหวกว่ายโต้กระแสคลื่นถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ ตามยถากรรมเอาเอง ที่สำคัญคือ ปล่อยให้สังคมไทยรู้สึกนึกคิดไปว่า นี่เป็นปัญหาเฉพาะบุคคล เป็นปัญหาของ”พระชั่ว”บางรูปเท่านั้นเอง นั่นมันพระบ้านนอกที่คนชั้นล่างไปศรัทธานับถือ และ”ไม่ใช่ฉัน”ที่ไปสนับสนุนพระชั่วเหล่านั้น ยิ่งอำนาจรัฐอย่าง ดีเอสไอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ช่วยกันกฐินสามัคคี ”จัดการคนชั่ว” เฉดหัวพ้นจากสังคมไทยพุทธอันดีงาม ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็ได้กลายเป็นเรื่องทางโลกย์ไปล้วนๆ เช่นเดียวกับความผิดปกติในแวดวงสงฆ์และวัดหลากหลายเรื่อง ที่ทั้ง มส.และ พศ. ช่วยกันหลับตาให้ จนสังคมไทยเพียงแต่ เออ เหรอ.. เวลาได้เห็นได้ยินข่าว ธนาคารออกมาแถลงยอดเงินฝากวัด 3 แสนล้านเอย วัด 3.7 หมื่นวัดทั่วประเทศ มีการทำบัญชีชี้แจงรายรับรายจ่ายเพียง 1.3 พันวัด เอย ...จนลืมถามกันว่า แล้ววัดและพระ สมควรร่ำรวยขนาดนี้จริงหรือ เอาเงินไปทำอะไรบ้าง ?
ดังนั้น เราจึงได้เห็นผลสำรวจที่แสดงว่า คนไทยไม่ได้เสื่อมศรัทธาต่อการทำบุญกับพระและวัด แม้จะมีข่าวฉาวเกี่ยวกับพระและวัดกันอีกสักกี่ครั้ง
เชื่อเถอะว่า พุทธศาสนาในประเทศไทยไม่มีวันกลับไปเหมือนเช่นในอดีต และเชื่อเถอะว่า ต่อให้มีอีกสักกี่พระชั่วหรือกี่วัดฉาว...ประเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ