สื่อสร้างสุขอุบลราชธานี โดยโครงการสะพานจากการสนับสนุนของ USAID เชิญนักการศึกษาทั้งเอกชนและรัฐถกนโยบายยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กได้หรือเสีย โดยมีผู้ปกครอง อดีตผู้บริหารสถานศึกษา ประชาชนทั่วไปสนใจร่วมรับฟัง ที่โรงแรมสุนีย์ แกรนด์แอนคอนเวนชั่นเซนเตอร์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
นายกมล หอมกลิ่น ผู้ดำเนินรายการได้สอบถาม ดร.อภิสิทธิ์ บุญยา รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 ถึงความจำเป็นที่กระทรวงศึกษาต้องยุบรวมโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนน้อย โดยมีเหตุผลสำคัญจากอะไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 20 คน ในจ.อุบลราชธานี แต่มีครูถึง 4-5 คน มีอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความจำเป็นต้องยุบไปรวมกับโรงเรียนอื่น เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนของนักเรียน และลดภาระด้านงบประมาณรายจ่ายประจำที่เป็นเงินเดือนของครู ซึ่งปัจจุบันครูแต่ละคนมีเงินเดือนเฉลี่ย 2-3 หมื่นบาท เมื่อมีการยุบรวม ทำให้ครูทำงานให้กับรัฐได้คุ้มค่ากับเงินเดือน สำหรับเด็กนักเรียนที่ถูกยุบรวมและอาจต้องเดินทางไกลจากถิ่นที่อยู่ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายจัดรถตู้มาช่วยรับ-ส่งให้กับนักเรียนเหล่านั้นให้เดินทางได้สะดวกด้วย
เมื่อถามถึงกรณีการสั่งซื้อรถตู้ที่มีราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาด ดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นการตั้งงบในราคากลาง เมื่อมีการจัดซื้อจริงราคาจะต่ำกว่านั้น แต่เรื่องการจัดซื้อรถตู้เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เกี่ยวกับสถานการศึกษาแต่ละแห่ง ซึ่งการจะยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนของจ.อุบลราชธานี คำตอบสำคัญขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของชุมชนด้วย โรงเรียนบางแห่งที่มีนักเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ 60 คน แต่มีระบบการจัดการเรียนการสอนดีกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนมาก โรงเรียนแบบนี้จะไปยุบก็ไม่ได้ เพราะชุมชนไม่ยอมแน่นอน
ขณะที่นายเสมอ หาริวร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าลัง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนชายขอบติดแม่น้ำโขงกล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนของตนมีนักเรียนเพียง 39 คน ครู 3 คน แต่โรงเรียนแห่งนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน มีระบบจัดการเรียนการสอนเน้นให้นักเรียนนำไปใช้ดำรงชีวิตประจำวันได้จริง ไม่เน้นการสอนใช้ทำคะแนนแข่งขันระบบโอเน็ตเอเน็ต หากนำมาตรฐานการสอบโอเน็ตเข้ามาเป็นตัวชี้วัด นักเรียนสอบไม่ผ่านแน่นอน แต่นักเรียนที่เรียนจบจากโรงเรียนนี้ไปแล้ว สามารถเอาความรู้ไปใช้ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตของตนเองได้ เพราะโรงเรียนสอนให้เอาความรู้ไปใช้สร้างความสุข และเอาความสุขของชุมชนมาเป็นตัวชี้วัด มีการจัดระบบการเรียนการสอนโดยเอาปราชญ์ของหมู่บ้านมาแนะนำ
“หากมองความเจริญคือ เป็นบ้านหลังใหญ่ แต่ต้องสร้างรั้วขังตัวเองเอาไว้ แต่หมู่บ้านนี้ มีบ้านหลังเล็ก แต่ทุกคนในหมู่บ้านเดินไปมาหาสู่กันได้ สิ่งของไม่เคยหาย จึงเป็นความเจริญแบบมีความสุข จึงมีการจัดระบบการสอนเพื่อตอบสนองชุมชน ไม่ได้จัดการสอนเพื่อตอบสนองการสอบเอาคะแนนอย่างเดียว” นายเสมอกล่าว
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าล้งยังกล่าวแนะนำให้นักการศึกษาที่คิดยุบโรงเรียนขนาดเล็กลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้ที่ชุมชน จะทราบความจริงว่า คุณภาพการศึกษาไม่ใช่เอาขนาดของโรงเรียนหรือจำนวนเด็กมาวัด แต่คุณภาพการศึกษาคือ ต้องสอนเด็กให้มีความรู้อย่างมีความสุข นำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
ด้าน ผศ.ดร.อารี หลวงนา รองอธิการบดีฝ่ายวัฒนธรรมและการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กล่าวถึงการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาก็มีครูและนักเรียนในโรงเรียนแต่ละแห่งน้อยเช่นกัน แต่สามารถจัดระบบการเรียนการสอนได้ และในประเทศยุโรปที่มีการศึกษาตามอัธยาศัยที่ให้ผู้ปกครองที่มีความรู้เป็นผู้สอนลูกหลานหรือโฮมสคูล ก็ทำได้ดี โรงเรียนในต่างประเทศถือว่า การมีนักเรียนจำนวนน้อยเป็นเรื่องดีและท้าทายความสามารถของครูผู้สอน และรัฐยิ่งสนับสนุนระบบไอทีให้มาก เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงได้มาก พร้อมติงว่าแนวความคิดยุบโรงเรียนขนาดเล็กของกระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ ถือเป็นการทำร้ายพ่อแม่และตัวเอง เพราะก่อนจะได้เรียนในโรงเรียนใหญ่ ต้องผ่านโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้มาก่อน การยุบโรงเรียนขนาดเล็ก จึงเท่ากับไม่สามารถรักษามรดกทรัพย์สินที่พ่อแม่ให้ไว้ได้
นักการศึกษาคนเดียวกันแนะทางออกของการศึกษา ที่โรงเรียนมีเด็กนักเรียนจำนวนน้อยคือ ต้องจัดระบบการบริหารจัดการ เพราะถ้าเทียบระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ก็ถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก แต่มหาวิทยาลัยราชภัฏอยู่ได้มาถึงวันนี้ เพราะมีระบบการบริหารที่ดี ครูที่ดีต้องเป็นครูที่มีความคิดสร้างสรรค์
นายคิด แก้วคำชาติ นักการศึกษาจากเครือข่ายการศึกษาทางเลือกของจังหวัด ระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการเกาไม่ถูกที่คัน ที่คิดยุบโรงเรียนตามชุมชน เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องมีรากเหง้าเกิดจากชุมชนก่อนต่อยอดไปสู่ด้านนอก การยุบโรงเรียนชุมชนเท่ากับผลักดันให้เด็กออกห่างจากชุมชน ส่วนการแก้ระบบการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ต้องไปแก้ที่ตัวกระทรวงศึกษาธิการ แก้หลักสูตร และแก้บุคลากรให้ครูเป็นครูของจริง ไม่ใช่นักขายสินค้าในคราบครู แล้วโทษว่าเด็กโง่ ที่อ่านเขียนหนังสือไม่ได้ กระทรวงศึกษาธิการต้องยอมรับความจริงข้อนี้ก่อน
การที่โรงเรียนมีนักเรียนจำนวนน้อย ยิ่งถือเป็นเรื่องดีที่นักเรียนได้ใกล้ชิดเข้าถึงตัวผู้สอนได้ง่าย หากคนที่สอนเป็นครูของจริง นักเรียนยิ่งได้ประโยชน์ ส่วนที่มองว่าต้องสูญเสียงบประมาณด้านเงินเดือนครูอยู่ที่ไหนก็สอนได้ โรงเรียนไหนมีครูมากเกินไป ก็เกลี่ยไปให้โรงเรียนที่ขาดแคลนครู เท่านี้ก็เป็นการแก้ปัญหาครูมากกว่านักเรียนได้
พร้อมเสนอว่า ไม่ต้องเอาเรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอน หรือรถตู้มาหลอกเด็ก เพราะการใช้รถตู้ขนส่งนักเรียน ต้องสิ้นเปลืองบประมาณกว่าการจ้างครูมาสอนเสียอีก อดีตกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายคืนครูสู่ท้องถิ่น เมื่อคนในหมู่บ้านเรียนจบก็บรรจุเข้าเป็นครูให้สอนอยู่ในชุมชน นอกจากครูจะเข้าใจวัฒนธรรมของชุมชนที่ตัวเองเติบโตขึ้นมาแล้ว ยังช่วยประหยัดทั้งเรื่องค่าที่พัก ค่าเดินทางมาสอน
นายแก้วกล่าวต่อว่า ปัจจุบันการจัดระบบการศึกษาของไทยตอบสนองระบบทุนการศึกษามากกว่าตอบสนองชุมชน นักเรียนปัจจุบันจึงเป็นนักเรียนประเภท “ท่องจำ แต่ทำไม่เป็น” เพราะมองแต่ตัวเลขที่ใช้เป็นเกณฑ์มาวัด และการยุบโรงเรียนขนาดเล็กตามชุมชนยังเป็นการทำลายเสาหลักทางวัฒนธรรมของชุมชนที่ต้องมีบ้าน วัด และโรงเรียน ที่ต้องอยู่ด้วยกันด้วย
ด้านผู้ฟังที่เป็นผู้ปกครองและอดีตผู้บริหารการศึกษาแสดงความเห็นว่า รัฐบาลควรสนับสนุนการศึกษาโดยลดภาษีให้กับโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก เหมือนการลดภาษีรถหรือบ้านหลังแรก เพราะการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ขณะนี้กระทรวงศึกษามองถึงการลงทุนทางการศึกษา ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มหรือไม่คุ้มทุนซึ่งเป็นการมองที่ผิดพลาดอย่างมาก
โรงเรียนในชนบทขนาดเล็กบางแห่งใน อ.นาตาล นักเรียนสามารถสอบทำคะแนนโอเน็ตได้เป็นที่หนึ่งของเขตการศึกษา จึงไม่ควรหว่านแหมองโรงเรียนขนาดเล็กเป็นโรงเรียนขาดคุณภาพ ทั้งที่ความจริงโรงเรียนขนาดใหญ่คือ ธุรกิจการศึกษาที่ให้กับผลกำไรกับผู้บริหารการศึกษา แต่สร้างความทุกข์ให้กับผู้ปกครอง
“ผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ หลายคนอดีตเป็นสังกะลี เป็นเด็กวัดมาก่อน เมื่อเข้าไปนั่งในห้องแอร์เลยลืมกำพืดตัวเอง ต้องกลับมามองหาอดีตตัวเอง สอบได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ครูให้ผ่าน ต่ำกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ครูให้อยู่ต่ออีกปี ปัญหาเด็กนักเรียนน้อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของครู แต่ปัญหาอยู่ที่เด็กเกิดมาน้อย ครูก็ต้องปรับวิธีบริหารการจัดการ ไม่ใช่มีเด็กน้อยก็ไม่อยากสอน แล้วแก้ปัญหาโยนเด็กให้ไปหาที่เรียนใหม่ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด” นายแก้วกล่าว
ส่วนปัญหาเรื่องงบประมาณใช้จ่ายในโรงเรียนชุมชน ทั้งพื้นกระดานชำรุด เก้าอี้พัง ผนังร้าว ชุมชนจัดผ้าป่าหาเงินมาซ่อมแซมแก้ไขกันเอง ชุมชนไหนเข้มแข็งร่วมกันสร้างตัวอาคารใช้เรียนใช้สอนใหม่กันเอง แค่รัฐจัดหาคนที่เป็นครูมาสอนให้เท่านั้น งบประมาณที่สูญเสียไปมากขณะนี้ และตกลงมาไม่ถึงเด็ก ก็เพราะมีการตั้งตำแหน่งทั้งครูชำนาญการ ครูชำนาญการพิเศษ ต่อไปอนาคตจะมีตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษที่พิเศษยิ่งกว่าขึ้นมากอีก เพื่อครูหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยเด็กไม่ได้รับประโยชน์จากตำแหน่งเหล่านี้ ที่กระทรวงตั้งขึ้นมาเลย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ