หลังพ้นโทษคดียุบพรรคไทยรักไทย 5 ปี เพียง 5 เดือน มีชื่ออยู่ในโผรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ 3” วันแรก ก็ถูกรับน้อง ด้วยคดีหวยบนดิน และถูกขู่จากฝ่ายค้านและสมาชิกสภาสูงถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย
ย้อนไปเมื่อเขากลับมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในทำเนียบได้เพียง 23 วัน สัญญาณร้ายก็ปรากฏชัด
เมื่อนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า “ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้พิจารณาและวินิจฉัยกรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา รวม 24 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของ นายวราเทพ รัตนากร”
ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (3) ประกอบมาตรา 174 (5) กรณีที่นายวราเทพ เคยต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญา 2 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทุจริตหวยบนดิน
วราเทพ ยิ้มสู้คดีที่ถูกประกาศ...อีกครั้ง ในช่วง 5 วันอันตราย ก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และวันพิพากษาจากม็อบเสธ.อ้าย
“ผมเชื่อว่าผมไม่ใช่หมากตัวใหญ่ คงไม่ถึงขั้นเป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียเอง...ยังมั่นใจว่า ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรที่ต่างไปจากที่เรามั่นใจ ผมยังเชื่อในคำวินิจฉัยของศาลและอธิบายกับสังคมได้”
และคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็กลายเป็นข่าวดีสำหรับเขา พ้นพวงกรรมคดีกล้ายางไปได้
แม้ความหวัง ความฝันของเขา ในอาชีพนักการเมือง สักวันจะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และได้ยินเสียงที่ถูกเรียกขานด้วยความขลังว่า “ท่านประธานสภาที่เคารพ”
แต่เมื่อกลับมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เขาได้รับจ็อบดิสคริปชั่น ให้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ที่ขึ้นเค้าโครงจากทีมที่ปรึกษาอาวุโสของนายกรัฐมนตรี นายพันศักดิ์ วิญรัตน์และคณะ ที่ว่าด้วยการผลักประเทศไทยให้พ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
จากห้องประชุมพรรค เข้าสู่ห้องประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เขาบอกทุกอย่างเหมือนเดิม เก้าอี้ห่างจากตัวเดิมเพียง 1 ตัว อยู่ทางด้านซ้ายของประมุข ที่นั่งหัวโต๊ะ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วราเทพ ที่คุ้นเคยกับงานการเมืองแบบ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” บอกว่า พี่น้อง 2 นายกรัฐมนตรี มีวิธีการทำงานไม่ต่างกันมาก วิธีการพิจาณาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกชงเข้าที่ประชุม เหมือนเดิม จะมีส่วนต่างบ้างก็เพียงแค่บรรยากาศ
เขากล่าวถึงเนื้องาน ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับ “สำนักงบประมาณ” ว่า ขณะนี้เตรียมจัดทำยุทธศาสตร์งบประมาณ ประจำปี 2557 ที่ทุกหน่วยงานจะต้องไปจัดทำแผนปฏิบัติการเชิงบูรณาการ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศแบบเพื่อไทย และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
เป้าหมายที่หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ทั้ง 20 คน รับทราบ และต้องนำไปปฏิบัติคือ ต้องร่วมกันสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนภายใต้ New Growth Model ซึ่งจะต้องปรับระบบงาน กำลังคน ภาครัฐและงบประมาณใหม่ เพื่อไปสู่เป้าหมายให้ประเทศไทย หลุดพ้นจากการเป็นประเทศมีรายได้ปานกลาง
โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 10-15 ปี หลังจากดำเนินยุทธศาสตร์ จะสามารถเพิ่มรายได้ประชากรจากในปี 2554 อยู่ที่ 4,420 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 132,600 บาทต่อคนต่อปี เป็น 12,4000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 372,000 บาทต่อคนต่อปี จะมีอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี อยู่ที่ 5-6 เปอร์เซนต์ ต่อปี และเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนาให้มากกว่า 1 เปอร์เซนต์ต่อจีดีพี จากที่ผ่านมาในปี 2554 อยู่ที่เพียง 0.24 เปอร์เซนต์
รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มากกว่า 40 เปอร์เซนต์ ต่อจีดีพี จากในปี 2554 อยู่ที่ 36.6 เปอร์เซนต์ หรือ 3.86 ล้านล้านบาท ขณะที่ประชากรมีการศึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ปี มีอัตราการอ่านออกและเขียนได้อยู่ที่ 100 เปอร์เซนต์จากในปี 2554 มีการศึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ 8.2 ปี และอัตราการอ่านออกเขียนได้อยู่ที่ 93.10 เปอร์เซนต์
นอกจากนั้นจะเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ 40 เปอร์เซนต์ ของพื้นที่ทั้งหมด หรือ 128 ล้านไร่ จากที่ปี 2552 อยู่ที่ 33.6 เปอร์เซนต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานให้ต่ำกว่า 4 ตัน ต่อคนต่อปี
ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่มีดีกรีงานที่ต้องขับเคลื่อนเทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี
เพราะครม.ยิ่งลักษณ์ 3 มีการถอนรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ออกจาก 2 กระทรวงพาณิชย์ 1 คน ถอนออกจากกระทรวงการคลัง 1 คน แล้วเสริมทีม 3 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมตรีที่ทำเนียบรัฐบาล และเติมชื่อณัฐวุฒิ ไสเกื้อ เข้าไปประจำการแทน
งานนโยบายพรรค จึงหวังแรงผลักดัน ที่ทำเนียบ ผ่าน “วราเทพ” โดยเฉพาะวาระกองทุนของรัฐบาล ที่มีถึง 7 กองทุน
เขาวางแผนไว้ว่า “เดือนแรกตั้งใจจะเคลียร์งานกองทุนหมู่บ้าน ตั้งสมติฐานว่า 1 หมู่บ้านมีคนได้ใช้เงินกองทุน 1 ล้าน จำนวน 30 ครอบครัว ครัวเรือนละ 30,000 บาท เอาจำนวน 30 ครอบครัว คูณด้วย 79,000 หมู่บ้าน ก็เท่ากับว่า มีคนไทยประมาณ 2.1 ล้านครัวเรือน ที่ได้มีส่วนร่วมกับกองทุนของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจส่วนตัว”
ด้วยประสบการณ์ 5+5 คือ เป็นประธานกรรมาธิการงบประมาณควบคู่เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 5 ปี เมื่อพ้นจากวงอำนาจ 5 ปี ก็ทำหน้าที่ทั้งประธาน ทั้งเลขานุการทุกห้อง ทุกที่ประชุมระดับยุทธศาสตร์พรรคอีก 5 ปีเต็ม
10 ปี กับการคลุกทุกวงอำนานในสนามกอล์ฟ และห้องเรียนทั้งในสถาบันวิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) 10 ซึ่งมี "บรรหาร ศิลปอาชา" อดีตนายกฯ คนที่ 21 เป็นเพื่อนร่วมรุ่น เป็นนักเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) 2554
เมื่อกลับมานั่งเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง เขาต้องทำหน้าที่ค้นคว้าควบคู่ กับการทำดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ปรัชญาการเมือง มหาวิทยาลัยรามคำแหง นั่งหน้าชั้นเป็นประธาน รุ่น 3 มีรุ่นพี่อดีตนักรัฐประหาร ชื่อ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” มีเพื่อนร่วมรุ่น ร่วมพรรค คือ นายคณวัฒน์ วศินสังวร ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทย
วราเทพ-บอกว่า สาขานี้มีคนเรียนมาแล้ว 3 รุ่น มีทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน-รัฐบาล แต่เข้าง่าย ออกยาก ยังไม่มีใครจบ ได้ดีกรีดอกเตอร์สักคน เฉพาะรุ่นเขามีนักศึกษาที่ผ่านการเรียนคอร์สเวิร์คเพียง 20 คนเท่านั้น
หัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ที่เขาคัดสรรไว้ มี 3 ประเด็น ล้วนแต่เป็นเรื่องราวในสนามการเมือง หัวข้อแรก เขาสนใจการเมืองในฝ่ายนิติบัญญัติ-บทบาทของรัฐสภา หัวข้อถัดมากเป็นเรื่องคณะรัฐมนตรี-ฝ่ายบริหาร หัวข้อสุดท้ายที่มีอาจารย์แนะนำคือ เรื่องพรรคการเมืองและเงินทุนสนับสนุนทุกรูปแบบ ทั้งใต้ดิน-บนดิน ทั้งกลุ่มที่มีชื่อและพวกไม่ประสงค์จะออกนาม
นายวราเทพ บอกว่าหนักใจ “เรื่องเงินบริจาคพรรคการเมือง เราอยากค้นคว้าว่าเงินมาจากไหนได้บ้าง พรรคนำไปใช้อะไรบ้าง แต่ก็คงเก็บข้อมูลยาก...ใครจะบอก”
ความหวังระยะสั้นของ “วราเทพ” คือ จบดีกรีดอกเตอร์ ความฝันที่มีมาตั้งแต่เป็นนักการเมืองรุ่นเด็กคือ การเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนอุบัติเหตุการเมืองที่เขาไม่ปรารถนาได้ยินคือ “ปรับครม.”
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ