จากกรณีที่จะมีการเจรจาเขตการค้าเสรีไทยกับสหภาพยุโรป ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป รอบที่ 2 ที่จะมีขึ้นระหว่าง วันที่ 16-20 กันยายน นี้ ที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการเจรจาในรอบแรกไปแล้ว ระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2556 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หากการเจรจาครั้งนี้ เป็นไปตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป นั่นหมายความว่า ประเทศไทยจะต้องเสียเปรียบในหลายด้าน โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และภาคการเกษตร
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรป ใน 3 เรื่องหลักคือ ต้องเป็นภาคี UPOV 1991, ภาคีสนธิสัญญาบูดาเปส และ ยอมรับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต นั้น จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างรุนแรงและกว้างขวาง
“ความหลากหลายทางชีวภาพของไทยเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ของความหลากหลายทางชีวภาพของโลก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องให้ไปเป็นภาคี UPOV 1991 จะมีผลให้เกษตรกรต้องจ่ายพันธุ์พืชในราคาที่แพงขึ้น จากงานวิจัยพบว่า ราคาพันธุ์พืชจะขึ้นอย่างต่ำ 2-3 เท่าจนถึง 6 เท่าตัว ตอนนี้มูลค่า 28,000 ล้านบาท จะเพิ่มเป็นอย่างต่ำ 80,000 ล้านบาท และอาจถึง 140,000 ล้านบาทต่อปี ไม่คุ้มค่ากับการได้ต่อสิทธิ GSP ที่ทางการไทยประเมินว่า จะสูญเสียเพียง 34,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น และยังไม่รวมเรื่องจุลินทรีย์ และความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ประเมินค่าไม่ได้”
ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถีกล่าวว่า เกษตรกรจะได้รับผลกระทบอย่างกว่างขวาง ทั้งเกษตรกรผู้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่จะต้องจ่ายแพงขึ้น การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อหรือแลกเปลี่ยน จะมีความผิดถึงขั้นจำคุกและต้องจ่ายค่าเสียหายแก่บริษัทและวิสาหกิจชุมชนที่ปรับปรุงพันธุ์พืชจากพันธุ์พืชใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้ เช่น วิสาหกิจชุมชน ที่อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่เกษตรกรพัฒนาพันธุ์พืช อาจต้องเลิกการประกอบกิจกรรมของวิสาหกิจท้องถิ่นนี้ไปในที่สุด ขณะที่นักปรับปรุงพันธุ์ โดยเฉพาะบริษัทเมล็ดพันธุ์ จะไม่ถูกบังคับให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่รัฐหรือชุมชนเจ้าของพันธุ์ ดังที่เคยเป็นตามกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับปัจจุบัน
“หากประมวลโดยรวมแล้ว ผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิ GSP มีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมข้ามชาติ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัทยักษ์ใหญ่ส่งออกอาหารไก่-กุ้ง แต่การนำผลกระทบของเกษตรกรอย่างต่ำนับแสนล้านบาท เพื่อแลกผลประโยชน์เหล่านี้เป็นเรื่องไม่คุ้มค่า และเรื่องการผูกขาดเมล็ดพันธุ์นั้น ประโยชน์โดยตรงกับอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่ของไทยที่กุมตลาดเมล็ดพันธุ์โดยตรงและโดยอ้อม โดยทำลายรากฐานการผลิตของเมล็ดพันธุ์ ของเกษตรกร และทำลายรากฐานของประเทศ ดังนั้นการเคลื่อนไหวติดตามการเจรจาของประชาชนครั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจบนจุดยืนของเกษตรกร และประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อประโยชน์กลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่ม”
ด้าน น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ และผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ กล่าวว่า จากเอกสารของคณะกรรมการอาหารและยาพบว่า ผลการศึกษาจากสำนักวิจัยชั้นนำของประเทศ มีข้อสรุปในทำนองเดียวกันว่า การเจรจาความตกลงการค้าเสรีในส่วนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ จะก่อให้เกิด การผูกขาดตลาดอย่างยาวนาน และทำให้ราคายาแพงขึ้นมากมาย, ประเทศไทยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล, ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาได้, ส่งผลกระทบด้านลบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยาสามัญภายในประเทศ ที่สำคัญคือ ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับบรรษัทยาข้ามชาติเท่านั้น
“ถ้ายอมทริปส์พลัสด้านยา อาทิ ยอมขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี มีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็นปีละ 27,883 ล้านบาท ยอมปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือ Data Exclusivity จะมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทย เพิ่มขึ้นปีละ 81,356 ล้านบาท แต่ขณะนี้มีความพยายามกดดันจากภาคธุรกิจให้ฝ่ายไทยยอมรับทริปส์พลัส และกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งไม่เป็นจริง ดังนั้น ผู้เจรจาต้องมีความฉลาดและเท่าทัน การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ยอมรับได้ มีเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ ยาที่ติดสิทธิบัตรต้องมาตั้งโรงงานและผลิตในประเทศไทย”
ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่เอารัดเอาเปรียบของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องทรัพยากรชีวภาพนั้น เป็นประเด็นที่ไปคุยกับคนทุกสีเสื้อที่มีความเห็นต่างกันทางการเมือง มีความรู้สึกร่วมว่า เป็นเรื่องที่อยู่เฉยไม่ได้ เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องระมัดระวัง
“การเจรจาเอฟทีเอรอบนี้มีความหมายมาก เพราะจะเป็นประเด็นรวมของคนที่เห็นต่างทางการเมือง แต่เห็นประโยชน์ของคนทุกคนในสังคมเช่นเดียวกัน มาร่วมงานทำกิจกรรมกัน เป็นกิจกรรมเปิดหูเปิดตาประชาชน หากอียูเอาเปรียบรัฐบาลไทย เอาเปรียบคนไทยแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะส่งเสียงในฐานะของคนในสังคมให้หัวหน้าคณะเจรจาของสหภาพยุโรปรับรู้ว่า ข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นธรรม เหมือนการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจยุคใหม่ เช่นนี้ คนไทยไม่ยอมรับ อีกนัยยะหนึ่งส่งเสียงบอกรัฐบาลไทย จุดยืนของประเทศครั้งนี้สำคัญมาก เพราะรัฐบาลบอกเสมอว่า จะเจรจาไม่ให้มีปัญหากระทบการเข้าถึงยา ไม่กระทบภาคเกษตร และทรัพยากรของประเทศ จะทำให้นโยบายที่สร้างมาเพื่อประชาชนเป็นจริง ไม่ถูกการค้าที่อ้างว่าเสรี แต่ไม่เป็นธรรมแทรกแซง เราจะเฝ้ามองว่ารัฐบาลจะมั่นคงแค่ไหน คนไทยจำนวนหนึ่งตื่นแล้ว เราจะชวนให้คนอื่นมากขึ้น หนุนจุดยืนที่รัฐบาลยืนยันให้ทำเพื่อประโยชน์คนไทยจริง ๆ
“อยากฝากบอกนักธุรกิจส่งออกของไทยบางส่วน ที่ผ่านมาคุณทำการค้าง่าย ๆ ได้สิทธิพิเศษในช่วงที่ประเทศยังไม่พัฒนา เมื่อประเทศพัฒนามากขึ้น รายได้ดีขึ้น สิทธิพิเศษเหล่านี้ก็ต้องหมดไป นักธุรกิจส่งออกของไทยเหล่านี้ ต้องรู้จักปรับตัวบ้าง ต้องหยุดการเอาเงื่อนไขบางอย่างที่ส่งผลกระทบระยะยาวและกว้างของคนทั้งสังคมไปแลก นักธุรกิจไทยควรมีสำนึกมาก ๆ” ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กิจกรรมการรณรงค์ติดตามการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรปครั้งนี้ จะมีขึ้นที่ลานท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน นี้ มีกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอิสรภาพทางพันธุกรรมผ่านการรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านจากทั่วประเทศ กิจกรรมศิลปะรณรงค์เพื่ออธิปไตยทางพันธุกรรม กิจกรรมเรียนรู้แบบ Interactive เรื่องผลกระทบเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป ในประเด็นต่าง ๆ และมหกรรมตลาดเกษตรอินทรีย์
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ