‘โคกหินขาว’โวยอ้างประชาคมผุดโรงงานแป้งมันน้ำพอง จวกกรมชลฯไฟเขียวใช้น้ำ'ห้วยเสือเต้น'ที่ชุ่มน้ำชุมชน

16 ก.พ. 2556


วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาว ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น กว่า 20 คน เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เพื่อร่วมเจรจาหาทางออกกรณีคัดค้านการสร้างโรงงานแป้งมันสำปะหลัง หลังจากมาชุมนุมยื่นหนังสือร้องเรียนเมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ การเจรจาเมื่อวันที่ 30 มกราคม มีข้อสรุป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการในการเจรจาชุดใหม่ โดยให้มีตัวแทนจากกรมชลประและสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 10 เข้าร่วมอยู่ในคณะกรรมการชุดใหม่ดังกล่าวด้วย

 

นายวินัย สิทธิมณฑล รองผู้ว่าฯ ขอนแก่น ประธานคณะกรรมการ กล่าวเปิดการประชุมว่า วาระการประชุม ประกอบด้วย 1.เรื่องการตรวจสอบกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กรณีอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานแป้งมันสำปะหลัง บริษัท ขอนแก่นสตาร์ซ จำกัด 2.เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงการอนุญาตให้โรงงานแป้งมันสำปะหลังใช้น้ำจากห้วยเสือเต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ

 

จากนั้นตัวแทนจากอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกระบวนการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแป้งมันต่อที่ประชุมว่า กระบวนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแป้งมันเป็นไปตามขั้นตอนและถูกต้องตามกฎหมายทุกกระบวนการ

 

 

 

นายบุญช่วย สีโสทา ประธานกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาว ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า กระบวนการออกใบอนุญาตโรงงานไม่ถูกต้องตามที่อุตสาหกรรมจังหวัดกล่าวอ้าง เนื่องจากในกระบวนการประชาคมหมู่บ้าน ไม่ได้มีการชี้แจงให้ข้อมูลกับประชาชนในพื้นที่ทราบแต่อย่างใด อีกทั้งยังแจกสิ่งของเพื่อหลอกให้ชาวบ้านลงชื่อ และนำรายชื่อดังกล่าว ไปเป็นเอกสารประกอบยืนยันว่า ชาวบ้านในพื้นที่ได้เห็นด้วยกับการที่จะมีโรงงานแป้งมันเกิดขึ้นในพื้นที่ ดังนั้นกระบวนการประชาคมรับฟังความคิดเห็นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

หลังจากนั้นได้มีการโต้แย้งข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่ายเป็นเวลานานเกือบ 1 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ประธานในที่ประชุมจึงมีข้อสรุปว่า มีประเด็นที่คณะกรรมการต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องประชาคมคือ กระบวนการประชาคมรับฟังความคิดเห็นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่เพิ่มเติม

 

จากนั้นจึงประชุมในวาระที่สอง โดยตัวแทนจากกรมชลประทานชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การที่ชลประทานอนุญาตให้โรงงานแป้งมันใช้น้ำจากห้วยเสือเต้น เพื่อการผลิตนั้นเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของกรมชลประทาน ดังนั้นการอนุญาตให้ใช้น้ำดังกล่าวจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย

 

ด้านตัวแทนจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การอนุญาตให้โรงงานแป้งมันใช้น้ำในการทำการผลิตจากห้วยเสือเต้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เนื่องจากห้วยเสือเต้นได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับประเทศ และต้องปฏิบัติตามมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 เรื่องการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ

 

ดังนั้นการอนุญาตให้โรงงานแป้งมันใช้น้ำจากห้วยเสือเต้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งยังมีความกังวลด้วยว่า การอนุญาตของกรมชลประทาน จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งชิงการใช้ทรัพยากรน้ำของภาคเกษตรกรรม

 

 

 

การประชุมดำเนินไปอย่างตึงเครียด และไม่มีทีท่าว่าจะได้ทางออกร่วมกันจากทั้งสองฝ่าย กระทั่งเวลา 12.00 น. รองผู้ว่าฯขอนแก่น ในฐานะประธานในที่ประชุมจึงสรุปวาระการประชุมที่สอง คือให้ตัวแทนจากกรมชลประทาน ทำรายงานชี้แจงเกี่ยวกฎหมาย และระเบียบ ที่ใช้ในการอนุญาตให้โรงแป้งมันใช้น้ำจากห้วยเสือเต้น เพื่อมารายงานต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป

 

ด้านนายกรชนก แสนประเสริฐ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาว กล่าวว่า ประเด็นห้วยเสือเต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ในสังคมไทย ประเด็นแรก ไม่น่าเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในสังคมอีก เช่น การเอาเสื้อมาแจก การเอาของมาแจก เพื่อหลอกเอาลายเซ็นของชาวบ้าน วิธีการแบบนี้มันน่าจะหมดไปจากสังคมไทยได้นานแล้ว

 

ประเด็นที่สอง เป็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย วัฒนธรรมในการปฏิบัติตามกฎหมาย แม้เราจะมีสิทธิชุมชนตามมาตรา 66-67 ของรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2540 แต่ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการส่วนใหญ่มักไม่เคยคำนึงถึงหลักการสิทธิชุมชนนี้เลย มีแต่ยกกฎหมายเฉพาะของตัวเองที่ให้อำนาจกับตัวเองมาอ้างกับชาวบ้านเสมอ โดยเฉพาะกรมชลประทาน

 

 

              “ทั้ง ๆ ที่ห้วยเสือเต้นถูกประกาศเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำมานาน กลับไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่มีการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการออกใบอนุญาตโรงงานแป้งมัน เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับสังคมไทย และถ้าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ในสังคมไทยมีแต่จะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการไม่คำนึงถึงหลักการสิทธิชุมชนของหน่วยงานภาครัฐ” นายกรชนกกล่าว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: