เมื่อวันที่ 16 มกราคม ศาลปกครองสงขลา อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 454/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 51/2549 ระหว่าง นายเจ๊ะเด็น อนันทบริพงศ์ ที่ 1 กับพวกรวม 30 คน ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 1จังหวัดสงขลา ที่ 2 และกระทรวงมหาดไทย ที่ 3
ทั้งนี้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 บริเวณสะพานจุติ บุญสูง ใกล้โรงแรมเจ.บี. อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อกลุ่มชาวบ้านและเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เดินทางเพื่อมายื่นหนังสือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ที่เดินทางมาประชุมครม.สัญจรที่โรงแรมเจบี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดล้อมทำร้าย ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ และถูกจับกุม
โดยคำฟ้องศาลปกครองระบุว่า โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ของบริษัท ทรานส์ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลไทยให้ดำเนินโครงการ โดยประกาศให้พื้นที่อ.จะนะ อ.นาหม่อม อ.หาดใหญ่ และอ.สะเดา จ.สงขลา เป็นเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลและบนบกซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนา และพื้นที่ทำงานของผู้ฟ้องคดี
ซึ่งผู้ฟ้องคดี และประชาชนในอ.จะนะ และใกล้เคียงเห็นว่า การดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งได้รับอนุมัติจากรัฐบาลไทยเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบ มีกระบวนการจัดทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบกระทำไปโดยไม่ชอบ
อีกทั้งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จัดทำโดยคลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วนตามความเป็นจริง และมีหลักฐานหลักฐานน่าเชื่อถือได้ว่า ผลการดำเนินโครงการจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของชุมชน และเป็นการจัดการทรัพยากรของชาติที่ส่งผลเสียหายต่อส่วนรวม ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ได้รับผลประโยชน์จากโครงการเพียงร้อยละ15 ของผลประโยชน์ทั้งหมด ซึ่งต้องแลกกับการสูญเสียทรัพยากรของชาติ กระทบต่อวิถีชีวิต และสิทธิชุมชนของประชาชนในพื้นที่
ผู้ฟ้องคดีจึงร่วมกับประชาชน รณรงค์คัดค้านการดำเนินโครงการดังกล่าว ด้วยวิธีการชุมนุมเรียกร้อง และยื่นข้อเสนอเพื่อให้รัฐบาล พิจารณาทบทวนยกเลิกการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539เรื่อยมา อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการ ปกป้อง และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของชุมชน
เหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 20ธันวาคม 2545 บริเวณสะพานจุติ บุญสูง ใกล้โรงแรมเจ.บี.หาดใหญ่ เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้รวมตัวกันเพื่อใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ เตรียมไปยื่นหนังสือเสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการอนุมัติโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ต่อนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดการเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ณ โรงแรมดังกล่าว ในวันที่ 21 ธันวาคม 2545
เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางถึงบริเวณถ.จุติอนุสรณ์ ใกล้โรงแรม เจ.บี. หาดใหญ่ ก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กำหนดให้เส้นทางโดยรอบโรงแรมเป็นพื้นที่รักษาความปลอดภัย โดยตั้งแผงเหล็ก และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแถวปิดกั้นไว้บริเวณสะพานจุติ บุญสูง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 400 เมตร ผู้ร่วมชุมนุมจึงหยุดรอหน้าแผงเหล็ก และรอการเจรจาเพื่อขอเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมเข้าไปบริเวณสวนหย่อมใกล้อาคารจอดรถของโรงแรม อันเป็นจุดนัดหมายที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว แต่ในระหว่างที่กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านหยุดรอการเจรจา และกำลังจับกลุ่มกันรับประทานอาหาร และประกอบพิธีละหมาดตามหลักทางศาสนาอิสลามอยู่นั้น
เวลาประมาณ 21.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุม และจับกุมผู้ชุมนุมบางส่วน เป็นเหตุให้มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ รถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะได้รับความเสียหาย และไม่สามารถใช้เสรีภาพในการชุมนุมได้ต่อไป ผู้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมจึงยื่นขอให้สภาทนายความ ดำเนินการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสงขลา
เป็นคดีหมายเลขดำที่ 545/2546 เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามที่มาตรา 44รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้รับรองและคุ้มครองไว้ โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซึ่งถือเป็นคดีแรกที่มีการฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐจากการละเมิดเสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ
ศาลปกครองสงขลามีคำพิพากษา(คดีหมายเลขแดงที่ 51/2549)เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 โดยพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 24
“เมื่อการชุมนุมของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 กับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้บัญญัติรับรองไว้การที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมด้วยการสลายการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่มีความร้ายแรง เนื่องจากเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เห็นสมควรกำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ชดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 24 คน เป็นเงินคนละ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสังกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (จ.สงขลา) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (กระทรวงมหาดไทย) ไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมในการกระทำละเมิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ด้วย จึงไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1”
หลังจากมีคำพิพากษาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองสงขลาดังกล่าว ต่อศาลปกครองสูงสุด และขณะนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแล้ว ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า การชุมนุมของชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 เป็นการชุมนุมโดยสงบ และการที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุม โดยมิได้ดำเนินการตามหลักสากล คือจากเบาไปหาหนัก จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพชุมนุมโดยสงบต่อไปได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องที่ 1) จึงต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 - 24 โดยกำหนดให้จ่ายค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องที่ 1 - 24 รวมกันจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
นายเจ๊ะเด็น อนันทบริพงศ์ กล่าวว่า เมื่อศาลปกครองพิพากษาออกมาเช่นนี้ เป็นการยืนยันให้โลกรับรู้ว่ากลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทยมาเลเซีย ได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสมาชิกในกลุ่มฯก็มีความเชื่อเช่นนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มใช้สิทธิในการปกป้องชุมชนของเรา และร่วมกันคัดค้านโครงการฯมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมา10 กว่าปี จะเจอปัญหามากมาย ทั้งถูกกล่าวร้าย ถูกทำร้ายทุบตีบาดเจ็บสาหัสจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกจับยัดห้องห้อง แต่สมาชิกในกลุ่มฯไม่เคยคิดท้อใจ เรายืนหยัดมาตลอดเพราะเราเชื่อว่าเรามีสิทธิและเราใช้สิทธิของเราเอง
นายเจ๊ะเด็นกล่าวอีกว่า วันนี้ศาลก็ได้พิพากษาออกมาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความผิด เพราะได้ละเมิดสิทธิของชาวบ้าน ละเมิดสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ สมาชิกในกลุ่มดีใจแม้ว่าการจ่ายค่าเสียหายในการละเมิดสิทธิจะน้อยมาก แต่ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่ทางกลุ่มฯ ต้องการคือ ความเป็นธรรมและแบบอย่างของคดี ในเมื่อคำพิพากษายืนยันถึงการละเมิดสิทธิชาวบ้านโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการพิพากษาที่ชัดเจนต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด จะใช้อำนาจแบบนึกจะตีหัวชาวบ้านแบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกแล้ว
ด้านนางสุไรด๊ะห์ โต๊ะหลี อดีตแกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่รู้สึกดีใจอย่างมาก เพราะรอวันนี้มานานนับ 10 ปี โดยตนลุกขึ้นมาใช้สิทธิคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทยมาเลเซียด้วยหัวใจ และคัดค้านมาอย่างยาวนาน ถูกตีถูกทำร้ายจากเจ้าหน้าที่รัฐและถูกจับกุมเข้าห้องขัง และยังถูกกล่าวหาต่าง ๆ นา ๆ จากสังคม ลูกชายที่ร่วมคัดค้านฯ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรุมทุบตีจนกะโหลกศีรษะร้าวบาดเจ็บสาหัส และถูกจับยัดห้องขัง ทั้งที่ลูกชายสลบโดยไม่นำไปส่งแพทย์ นำเป็นความเลวร้ายที่สุด เป็นความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ ที่ลูกชายถูกทำร้ายโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกชายได้ แต่สุดท้ายศาลก็ได้พิพากษาให้พวกเรา
นางสุไรด๊ะห์กล่าวต่อว่า คำพิพากษาในวันนี้เป็นการยืนยันว่า ประชาชนกลุ่มคัดค้านท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทยมาเชีย ได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้อำนาจเกิดขอบเขต ละเมิดสิทธิประชาชน และขอให้กำลังใจไปยังชุมชน และกลุ่มต่าง ๆ ที่ถูกละเมิดสิทธิโดยกลุ่มทุนและเจ้าหน้าที่รัฐให้ได้มีกำลังใจและลุกขึ้นมาใช้สิทธิให้เต็มความสามารถ เพราะทุกคนมีสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และขอให้สิทธิของทุกคนได้รับการปกป้องเช่นเดียวกับกลุ่มคัดค้านโครงการท่อก๊าซฯ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ