เมื่อวันที่ 15 เมษายน เว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชน รายงานข่าวการแถลงด้วยวาจากรณีพิพาทเขาพระวิหาร ระบุว่า เวลา 15.00น.(ตามเวลาในประเทศไทย) สถานีโทรทัศน์ ช่อง 11กรมประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดสด การพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร จากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลน โดยนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศกัมพูชา แถลงด้วยวาจาระบุถึงสาเหตุกัมพูชาต้องยื่นให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกตีความ คำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มิถุุนายน 2505 เนื่องจากกัมพูชาต้องการความชัดเจนในเรื่องของเขตแดน อธิปไตยและบูรณภาพ อีกทั้งเป็นที่ทราบกันดีว่า ศาลโลกตัดสินไปแล้วว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา
รองนายกฯกัมพูชาระบุว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งกำลังทหารรุกรานประเทศกัมพูชา ในพื้นที่รอบ ๆ ปราสาทพระวิหาร ระหว่างกัมพูชาพยายามขอขื้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
นายฮอร์นัมฮง ยังอ้างถึงหลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ระหว่างปี 2551,2552,2554 ฝ่ายไทยใช้กำลังอาวุธ บุกรุกดินแดนของกัมพูชา ทำให้ปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิตและผู้อพยพพลัดถิ่นเป็นจำนวนมาก ต่อมารัฐบาลกัมพูชาร้องต่อศาลโลกและศาลมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว เมื่อวันที่ 18กรกฎาคม 2554 ให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทหรือเขตปลอดทหาร
นายฮอร์ นัมฮงแถลงย้ำต่อศาลโลกว่า กัมพูชาต้องการให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 เรื่องเขตแดนที่ชัดเจน แต่ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการปักปันเขตแดน
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำแถลงของนายฮอร์ นัมฮง ระบุว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติสุข ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา หากปราศจากการตีความคำพิพากษา 2505แล้ว อาจเกิดผลที่ไม่คาดหมาย ดังนั้นจึงควรป้องกัน เพื่อให้สองประเทศอยู่ร่วมอย่างมิตร เกิดสันติสุขและความร่วมมือต่อกัน
เวลา 15.30 น.นายฌอง มาร์ค ซอเรล ทนายความฝ่ายกัมพูชา ชาวฝรั่งเศส แถลงต่อศาลโลกโดยหยิบยกหลักฐานคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ระบุศาลพิพากษาตามแผนที่ภาคผนวก 1หรือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และบริเวณใกล้เคียงปราสาท (Vicinity of the Temple) และไทยจะต้องถอนกำลังทหารออกจากเขตแดนรอบปราสาทพระวิหาร
นายซอเรลระบุว่า เส้นเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชา จะต้องยึดตามแผนที่แนบท้าย ไม่ใช่ตีความเลื่อนลอยอย่างที่ไทยกล่าวอ้าง
เวลา 16.00น. เซอร์แฟรงคลิน เบอร์แมน ทนายความฝ่ายกัมพูชา คนที่สอง เป็นชาวอังกฤษ แถลงต่อศาลโลกระบุว่า ไทยไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก เมื่อปี 2554ที่ให้ถอนทหารออกจากเขตพิพาทรอบปราสาทพระวิหาร ไทยถอนกำลังทหารออกไปเมื่อศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 แต่ส่งกำลังทหารกลับเข้าไปในพื้นที่พิพาทกับกัมพูชาอีกครั้ง จึงอยากให้ศาลโลกตีความให้เป็นคำสั่งถาวร มิใช่เป็นเพียงคำสั่งชั่วคราวเท่านั้น
เวลา17.00น. เซอร์แฟรงคลิน เบอร์แมน ทนายความฝ่ายกัมพูชา คนที่สอง ชาวอังกฤษแถลงด้วยวาจาในคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลกเพิ่มเติม โดยหยิบยกหลักฐานของฝ่ายไทยที่เป็นมติคณะรัฐมนตรี (มติครม.) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 เป็นหลักฐานหลังศาลโลกมีคำพิพากษาแล้ว
นายเบอร์แมนอ้างถึงมติครม.ดังกล่าวว่า ฝ่ายไทยกำหนดเส้นแบ่งเขตไทยกัมพูชาเอาเอง และล้อมรั้วลวดหนาม อีกทั้งยังมีคำสั่งห้ามรุกล้ำเขตแดนถ้าใครละเมิดจะถูกยิง
“มติครม.ของไทยถือเป็นการตีความคำพิพากษาของศาล และเป็นการกระทำของไทยเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งเส้นเขตแดนขีดเส้นนั้น มีพื้นที่น้อยกว่าในแผนที่ภาคผนวกคำพิพากษากว่าครึ่งหนึ่ง” นายเบอร์แมนเรียกร้องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี2505ให้ชัดเจนเพื่อให้ไทยปฎิบัติตาม
เวลา 17.30 น. นายร็อคแมน บุนดี ทนายความฝ่ายกัมพูชา คนที่สาม ชาวอเมริกัน แถลงด้วยวาจาในคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลกเพิ่มเติม โดยหยิบยกหลักฐานเขตแดนที่ล้อมด้วยรั้วลวดหนาม ซึ่งไทยเป็นฝ่ายทำขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 โดยกัมพูชาถือว่า เป็นการกระทำของฝ่ายไทยเพียงฝ่ายเดียว และรัฐบาลไทยยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ยิงคนที่รุกล้ำดินแดนอีกด้วย
นายบุนดีกล่าวว่า เมื่อสมเด็จนโรดม สีหนุ เสด็จฯเยือนปราสาทพระวิหารในปี 2506 ทรงไม่เห็นด้วยที่ไทยปักรั้วลวดหนาม แต่ทางไทยได้อ้างเองฝ่ายเดียวว่า สมเด็จสีหนุทรงพอใจ ทั้งนี้รัฐบาลกัมพูชาได้ร้องทักท้วงตลอด และยื่นประท้วงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในปี 2509
นายบุนดีแถลงต่อศาลโลกอีกว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ในปี 2533 - 2550 ไทยยอมรับ แผนที่ในภาคผนวกหนึ่ง (ฉบับแนบท้ายสัญญาของฝรั่งเศส ที่ศาลโลกใช้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา) มาโดยตลอด กระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2549 ไทยได้เผยแพร่แผนที่หมายเลข L7017 ลากเส้นแบ่งเขตแดนตาม มติครม.ของไทย ในปี 2505 เป็นครั้งแรก แผนที่ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคำตัดสินของศาลโลกในปี 2505
“กัมพูชาอ้างอิงจากแผนที่ในภาคผนวกหนึ่งมาโดยตลอด รัฐบาลไทยเคยยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่ไม่ใช่แผนที่ หมายเลข L7017 กำหนดโดยมติครม. ของไทยฝ่ายเดียว” นายบุนดีกล่าว
ขณะที่ข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ระบุว่า วันที่ 15 เมษายน ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หลังฝ่ายกัมพูชากล่าวถ้อยแถลงทางวาจา ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร ว่า ทีมทนายความของกัมพูชาได้พยายามลบล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ไทยหยิบยกขึ้นมาชี้แจงต่อศาล ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายของทีมทนาย ขณะนี้เพิ่งเป็นการเริ่มต้น โดยวันนี้กัมพูชา ได้นำรายละเอียดทางเทคนิคมานำเสนอจำนวนมาก จึงเชื่อว่าประชาชนอาจยังไม่เข้าใจ ก็อยากให้ฟังต่อไปอีก 2 วัน ซึ่งในวันที่ 17 เมษายน ทีมทนายของเราจะตอบโต้ในประเด็นที่ทางกัมพูชาพูดถึงในวันนี้ด้วย
นายสุรพงษ์กล่าวดัวยว่า เป้าหมายในการต่อสู้คดีของไทยคือ การที่ไม่ให้ศาลหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตีความใหม่ แต่จากการฟังทีมทนายความไทยบรรยายสรุป เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คือ กัมพูชาพยายามยกประเด็นแผนที่ ที่เอื้อประโยชน์กับกัมพูชามาพูด อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถเผยในรายละเอียดได้ ขอให้รอฟังการชี้แจงจากทีมทนายความฝ่ายไทยในวันพุธนี้
ขอบคุณข่าวและภาพจากเว็บไซต์มติชน และไทยรัฐ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ