จับตารัฐใช้เงินกู้2ล้านล. แนะปฏิรูปรถไฟก่อนลงทุน

23 ก.ย. 2556 | อ่านแล้ว 1442 ครั้ง

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศครั้งใหญ่ที่มีการออกพระราชบัญญัติกู้เงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็น  พ.ร.บ.สร้างอนาคตไทย 2020 ซึ่งล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรพิจารณามีมติเห็นชอบวาระ 3 ไปเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา การปฎิรูปโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่นี้ แม้ควรเกิดขึ้นแต่ยังมีสิ่งที่ต้องร่วมกันจับตาเพื่อให้เกิดการใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ดร.สุเมธ องคกิตติกุล นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอ กล่าวพิจารณาจากยุทธศาสตร์ โครงการที่จะเกิดขึ้น และการบริหารจัดการว่า ในด้านการลดต้นทุน  โครงการที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท นั้น เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางเป็นหลัก นั่นคือการขนส่งทางรถไฟ ที่เชื่อว่าเป็นการขนส่งที่ประหยัดและขนส่งได้ครั้งละมาก ๆ น่าจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งของประเทศได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงข้อจำกัดของระบบรางในบ้านเราคือ มีโครงข่ายระบบรางทั่วประเทศ ประมาณ 4,000 กิโลเมตร ขณะที่เมื่อเทียบกับระบบขนส่งทางถนน เรามีโครงการข่ายถนนมากกว่า 200,000 กิโลเมตร  ระบบขนส่งทางรางจึงมีความทั่วถึงไม่มากนัก ด้านการลดต้นทุนคงลดได้บ้าง  แต่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด หรือมีนัยยะสำคัญกับระบบเศรษฐกิจยังต้องดูกันต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าในพื้นที่ที่ทางรถไฟได้พัฒนาเส้นทางไปนั้นเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ดีกรอบของ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วยโครงการจำนวนมาก เหมือนเป็นแพ็คเกจใหญ่ มีตัวโครงการที่มีการพัฒนาระบบการขนส่ง เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์  ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบทางคู่ ซึ่งปัจจุบันเป็นระบบรถไฟทางเดี่ยววิ่งสวนกันไม่ได้ ถ้าเป็นทางคู่ก็จะทำให้วิ่งสวนกันได้  ก็จะสามารถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้จำนวนมากและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จะสามารถช่วยลดต้นทุนได้ แต่โครงการลักษณะนี้มีสัดส่วนประมาณ 20-25 เปอร์เซนต์ ของเม็ดเงินในการลงทุนเท่านั้น ในขณะที่โครงการที่เกี่ยวข้องกับรถไฟความเร็วสูง เป็นเม็ดเงินค่อนข้างสูงมากประมาณกว่า 8 แสนล้านบาทหรือ 39 เปอร์เซนต์ ของเม็ดเงินที่จะลงทุน 2 ล้านล้านบาทครั้งนี้  และในส่วนของรถไฟความเร็วสูง ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายประการ เช่นจะช่วยเรื่องความเชื่อมโยงกับภูมิภาคได้อย่างไร อีกทั้งรถไฟความเร็วสูงก็ไม่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนมากนัก เพราะเน้นรองรับการขนส่งคนเป็นหลัก เป็นทางเลือกใหม่ของการเดินทางที่มีต้นทุนสูง ซึ่งค่าโดยสารก็น่าจะแพงตามไปด้วย

ดร.สุเมธกล่าวต่อว่า ประเด็นนี้ต้องดูรายละเอียดโครงการ หากมีลักษณะอย่างเรื่องของระบบทางคู่ หรือรถไฟฟ้าที่ให้บริการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันในเรื่องรถไฟความเร็วสูงยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป เพราะการหวังว่าการมีรถไฟความเร็วสูงแล้ว จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ดินไปตลอดแนวที่รถไฟความเร็วสูงพาดผ่านนั้น ความจริงแล้วกระบวนการพัฒนาที่ดิน พัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ในลักษณะอย่างนี้จำเป็นต้องใช้เวลามาก หลายครั้งที่เราได้ยินการยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากมีรถไฟความเร็วสูงแล้วทำให้เศรษฐกิจเขาเติบโตพัฒนา ตรงนี้ต้องเข้าใจภูมิศาสตร์ประเทศเขาด้วยว่า เป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น จึงมีปริมาณการใช้งานรถไฟความเร็วสูงค่อนข้างมาก และพื้นที่ก็มีการพัฒนามาเป็นเวลานาน เริ่มจากการพัฒนาตัวรถไฟระบบปกติก่อน เสร็จแล้วจึงมีการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงมาเป็นระยะ ๆ ทีละเส้นทาง

และเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่และใช้เงินมหาศาล เป็น พ.ร.บ.การกู้เงิน จึงมีความเป็นห่วงเรื่องการบริหารจัดการ โดยหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการบริหารจัดการคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีข้อจำกัดภายในทั้งเรื่องโครงสร้าง บุคลากร และการบริหารจัดการที่น่าเป็นห่วง  เช่นที่ผ่านมารัฐบาลในอดีตมีการอนุมัติงบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ วงเงินราว 1.7 แสนล้านบาท ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำเนินการ ซึ่งการรถไฟฯดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมียอดเบิกจ่ายงบประมาณอยู่ในระดับหมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นหากต้องการให้การดำเนินงานในเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควรมีการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรของการรถไฟแห่งประเทศไทยควบคู่ไปด้วย หรืออาจจะมีการเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมบางส่วน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความมีประสิทธิภาพของระบบมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ดร.สุเมธยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของโครงการที่อยู่ภายใน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านคือ ส่วนของบัญชีแนบท้ายพ.ร.บ. ซึ่งมีผลตามกฎหมายเฉพาะส่วนที่เป็นรายละเอียดยุทธศาสตร์และแผนงานอย่างกว้าง ๆ มีเนื้อหาเพียงสองหน้าครึ่งของหน้ากระดาษเท่านั้น ขณะที่รายละเอียดของโครงการจะอยู่ภายใต้เอกสารประกอบการพิจารณา ที่มีความหน้ากว่า200หน้า และเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาที่ยังไม่มีผลตามกฎหมาย (ณ ร่างที่พิจารณา) หมายความได้ว่า รัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนโครงการได้ในอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์หรือแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนนี้ได้สร้างข้อกังวลสำหรับโครงการต่าง ๆ เช่น อาจมีการปรับเปลี่ยนสำหรับโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ฐานเสียงของรัฐบาลออกไปได้ เป็นต้น  ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ

นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทีดีอาร์ไอได้มีการศึกษารายละเอียดโครงการที่อยู่ในพ.ร.บ.นี้พอสมควร และพบว่า มีหลายโครงการที่ยังไม่มีความพร้อม สิ่งที่ควรแก้ไข คือ ควรตัดโครงการที่ยังไม่พร้อมออกไปก่อน จะช่วยลดวงเงินการลงทุนให้น้อยลง (กู้ให้น้อยลง)ได้ เพื่อที่จะสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น และโครงการที่ตัดไปหากมีความพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถร่างเป็น พ.ร.บ.ใหม่ขึ้นมาหรือใช้งบประมาณประจำปี หรือใช้ระเบียบงบประมาณอื่นก็ได้  ไม่จำเป็นต้องทุ่มทั้ง 2 ล้านล้านบาท โดยที่ทราบว่าหลายโครงการยังมีความไม่พร้อมในการลงทุนค่อนข้างมาก

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: