นายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล แถลงความคืบหน้าการไต่สวนว่า ขณะนี้มีการประชุมอนุกรรมการแล้ว 25 ครั้ง ประชุมคณะทำงาน 50 ครั้ง โดยได้ขอเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กรมศุลกากร กรมบัญชีกลาง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และมีการสอบพยานบุคคลแล้ว 18 ปาก คือ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ รองปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ขณะนี้ประเด็นที่กำลังติดตามคือ เรื่องเส้นทางการเงินหรือแคชเชียร์เช็ค ที่มีการซื้อ 1,474 ฉบับ จาก 6 ธนาคาร โดยได้รับแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย 291 ฉบับ จำนวนเงิน 16,016,259 บาท มีผู้ซื้อทั้งหมด 9 ราย แบ่งเป็นบริษัท 3 ราย และเอกชน 6 ราย ธนาคารแบงก์ออฟไชน่า 10 ฉบับ จำนวนเงิน 253 ล้านบาท ผู้ซื้อมีบริษัทเดียว และธนาคารกรุงศรีอยุธยา 2 ฉบับ จำนวนเงิน 86 ล้านบาท ผู้ซื้อมีบริษัทเดียว ส่วนอีก 3 ธนาคารที่ยังไม่ได้รับคือ ธนาคารกรุงเทพ 139 ฉบับ จำนวนเงิน 11,242 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 284 ฉบับ และธนาคารกสิกรไทย 748 ฉบับ รวม 1,171 ฉบับ
นายกล้านรงค์กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทย จะส่งมาให้ภายในกลางเดือนกันยายน 2556 ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ ยังไม่ได้รับการประสานมา แต่ทางอนุกรรมการได้ส่งหนังสือขอให้ส่งข้อเท็จจริงมาให้ได้ภายในกลางเดือนกันยายน ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องดำเนินการคือ สอบพยานบุคคลผู้ที่ซื้อ และเกี่ยวข้องกับแคชเชียร์เช็คทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนไม่มาก เพราะ 3 ธนาคารที่ส่งข้อเท็จจริงมาให้ก่อนหน้านี้มีเพียง 5 บริษัท และเอกชน 6 ราย อีกประการหนึ่งคือ จะมีการสอบเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์เพิ่มเติม และสอบองค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.) เรื่องการส่งมอบข้าวไปประเทศจีนว่าสัญญาเป็นไปอย่างไร
“ขณะนี้การดำเนินการยังสะดุดที่เรื่องเส้นทางการเงิน ซึ่งเราพยายามเร่งรัดเรื่องนี้ โดยคาดว่าเดือนกันยายนจะได้ข้อเท็จจริงมาทั้งหมด เรื่องนี้จะต้องหาข้อเท็จจริงให้ได้ และการทำสำนวนของป.ป.ช. เป็นสำนวนที่ต้องส่งศาล เมื่อส่งศาลจะยึดสำนวนของป.ป.ช.เป็นหลัก ดังนั้น ต้องทำด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล หลักฐานชัดเจน รวมทั้งต้องวินิจฉัยได้ว่าผิดหรือไม่ผิด” นายกล้านรงค์กล่าว
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ