แอฟริกาส่งทหารพันนาย ปกป้องช้างป่าจากพราน

28 มี.ค. 2556 | อ่านแล้ว 1988 ครั้ง

 

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา รายงานข่าวเปิดเผยว่า ประเทศต่าง ๆ ในแถบแอฟริกากลาง เตรียมส่งทหารถึง 1,000 นาย และเจ้าหน้าที่รักษากฏหมาย เพื่อร่วมในปฏิบัติการทางทหารในการปกป้องช้างในทุ่งหญ้าสะวันนาโขลงสุดท้าย ที่กำลังเสี่ยงจะตกเป็นเป้าของพรานป่าชาว ซูดาน และการสังหารหมู่ในทันที

 

แถลงการณ์ร่วมของประเทศในประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐในแอฟริกากลาง (ECCAS) หลังการประชุมฉุกเฉินระดับรัฐมนตรี เพื่อต่อต้านการล่าสัตว์ ที่จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ณ กรุงยาอุนเด เมืองหลวงประเทศแคมเมอรูน ระหว่างวันที่ 21-23 มีนาคม ระบุว่า เราแนะนำให้ขับเคลื่อนกองกำลังป้องกันและกองกำลังด้านความมั่นคงในประเทศ เพื่อหยุดยั้งพรานป่ากลุ่มนี้

 

การประชุมในระดับสูงจัดขึ้นหลังจากกลุ่มพรานติดอาวุธ ชาวซูดาน 300 คน ขี่ม้าไล่ล่าช้างในทุ่งสะวันนาของแคเมอรูน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และชาด เมื่อกลางดึกของวันที่ 14- 15 มีนาคม ในพื้นที่ภาคใต้ของชาด พรานกลุ่มนี้สังหารช้างอย่างน้อย 89 ตัว ในคืนเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้พรานกลุ่มนี้เคยสังหารช้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ตัว ในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง และเป็นผู้ฆ่าหมู่ช้าง 300 ตัว ในอุทยานแห่งชาติบูบา จิดาของแคเมอรูน เมื่อช่วงต้นปี 2555 ซึ่งทำให้แคเมอรูนต้องส่งกำลังทหารชั้นแนวหน้า 600 นาย เพื่อป้องกันพรมแดนประเทศจากนักล่ากลุ่มนี้

 

อย่างไรก็ตามเป็นการยากที่จะระบุถึงตัวเลขที่ชัดเจนของประชากรช้างสะวันนา เช่น สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ประเทศที่ครั้งหนึ่ง เคยมีช้างสะวันนาจำนวนมากที่สุดในภูมิภาค แต่เชื่อว่าจำนวนช้างที่นี่ลดลงจากราว 80,000 ตัวเมื่อ 30 ปีก่อน เหลือเพียง ไม่กี่ร้อยตัวในปัจจุบัน

 

มีการประมาณการณ์ว่า แผนฉุกเฉินนี้ต้องใช้งบประมาณมากราว 1.8 ล้านยูโร หรือประมาณเกือบ 70 ล้านบาท เพื่อใช้ในการ สนับสนุนปฏิบัติการทางอากาศ, ยานพาหนะทางบก, การจัดซื้อโทรศัพท์ดาวเทียม, การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการณ์ร่วมทางทหาร รวมทั้งระบบแบ่งปันและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียล-ไทม์ รวมทั้งภารกิจทางการทูตไปยังซูดานและซูดานใต้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นประเทศ ต้นทางของนายพรานกลุ่มนี้

 

แม้ในแถลงการณ์จะระบุว่า ประเทศในกลุ่ม ECCAS จะร่วมกันสนับสนุนเงินทุนในปฏิบัติการนี้เอง แต่พวกเขาก็ได้เรียกร้อง ไปยังประชาคมโลกให้ “ร่วมระดมและจัดหาเงินทุนเสริม” เพื่อสร้างความต่อเนื่องความพยายามนี้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

          “ข่าวนี้เป็นข่าวที่ดีอย่างยิ่ง ทั้ง ECCAS และชาติสมาชิก ควรได้รับการแสดงความยินดีต่อความมุ่งมั่นที่จะหยุดยั้ง กลุ่มนักฆ่าช้างกลุ่มนี้ ให้ได้อย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามขณะนี้ขึ้นอยู่กับประเทศผู้ซื้อ โดยเฉพาะจีนและไทย ที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความกล้าหาญ และมุ่งมั่นเท่าเทียมกับ ประเทศในแถบแอฟริกากลางเหล่านี้” บาส ฮุจเบรกส์ หัวหน้าโครงการต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่า สาขาแอฟริกากลาง ของ WWF กล่าว

 

ในแถลงการณ์ ประเทศกลุ่ม ECCAS ยังแสดงความยินดีต่อการตัดสินใจของประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ในการสั่งห้ามการ ค้างาช้างในประเทศ และเรียกร้องให้ไทยเร่งปฏิบัติตามการตัดสินใจครั้งนี้ ซึ่งผู้ซื้องาช้างก็ต้องเข้าใจถึงผลกระทบ จากความต้องการงาช้าง และประเทศปลายทางควรต้องมีมาตรการในการลดความต้องการงาช้างเช่นกัน

 

นอกจากนี้ประเทศในกลุ่ม ECCAS จะต้องดำเนินการเพื่อปรับปรุงกฏหมายของประเทศ เพื่อให้การล่าและค้างาช้างเป็นการกระทำความผิด เทียบเท่าการก่ออาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การลักลอบ ขนยาเสพติด หรืออาวุธเบา

 

นายโรเบิร์ต แจ๊คสันเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำแคเมอรูน กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับการประชุม และแผนที่ออกมาก็เป็นแผนการที่ดี แต่การปฏิบัติตามแผนก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่า ในแถลงการณ์ฉบับนี้ ไม่มีการกล่าวถึงการคอร์รัปชัน เนื่องจากนี่เป็นปัญหาโดยตรงที่ก่อให้เกิดปัญหาลักลอบล่าและค้าสัตว์ป่า

 

ขณะที่นายนิโคลัส เบอร์ลังกา มาร์ติเนซ หัวหน้าคณะความร่วมมือคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป แสดงความยินดีต่อ โครงการริเริ่มของ ECCAS ว่า การรับรองมาตรการนี้ นับเป็นความทะเยอทะยานที่มีประสิทธิภาพเพียงพอจะ รับมือกับความเร่งด่วนของสถานการณ์ และผมจะให้ความสนใจต่อการปฏิบัติตามแผนการณ์ฉุกเฉินนี้ ร่วมกับพันธมิตรอื่น ๆ

 

 

            “ผมยังขอแสดงความยกย่องต่อข้อเสนอที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการต่อสู้กับการลักลอบล่า และค้าสัตว์ป่า และยังอยากจะเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจรับผิดชอบเหล่านี้ สร้างความเชื่อมั่นว่า มีการใช้เงินบริจาคจากพันธมิตร อย่างเหมาะสม”

 

ในแถลงการนี้ ประเทศในกลุ่ม ECCAS เน้นย้ำถึงคำมั่นที่จะปกป้องช้าง ซึ่งพวกกล่าวว่า “เป็นสมบัติทางธรรมชาติร่วมกันของ มนุษยชาติ ประชาคมโลกจะยืนเคียงข้างแอฟริกากลาง และตอนนี้ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับภูมิภาคนี้แล้ว” ฮุจเบรกส์ แห่ง  WWF กล่าว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: