เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 27 ธันวาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. แถลงภายหลังเป็นประธานประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (ผบ.นขต.) ประจำเดือนธ.ค.ว่า การประชุมนขต.ทบ.ในครั้งนี้เป็นไปตามวาระปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทั้งนี้กองทัพถือเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ต้องยืนหยัดท่ามกลางมรสุมนี้ให้ได้ สถานการณ์น่าเป็นห่วง สำหรับคนไทยทุกคน ทุกฝ่าย ขออย่านำทหารไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะทหารเป็นของชาติและประชาชน พร้อมดูแลปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันนี้มีความขัดแย้งกันอยู่ ขอร้องว่าอย่านำทหารเข้าไปสู่ความขัดแย้ง เพราะตนไม่อาจไปก้าวล่วงในส่วนหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ และอีกส่วนหนึ่งตนก็ไม่อาจจะทอดทิ้งประชาชน นอกจากนี้ยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง และอีกพวกหนึ่งก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนออกมา
“เหมือนกับผมกำลังนำกองทัพเดินไปบนเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเส้นทางข้างหน้า คือ ประเทศชาติ ความสงบสุขยังต้องเดินไป ประเทศชาติต้องการการยอมรับ และถนนนี้เป็นเส้นทางตรงที่ต้องก้าวไปข้างหน้า ผมพร้อมนำพาชาติและประชาชนไปข้างหน้าให้ได้ วันนี้เหมือนเดินไปเจอทางแยก และทางตรงนี้อาจจะไกลหรือไปได้ยาก แต่ผมจะไปซ้ายหรือขวาไม่ได้ ผมจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ซ้ายและขวาหยุดไว้ให้ได้ โดยต้องเปิดไฟแดงไว้ทั้ง 2 ทาง และเราไปทางตรงก่อน เพื่อให้สถานการณ์สงบลง และผ่านชั่วโมงเร่งด่วนนี้ไป อย่ามากล่าวหาว่า ผมไม่รักด้านซ้ายหรือด้านขวา เราไม่มีซ้ายและขวา มีแต่ข้างหน้าและคนตามข้างหลังอีกจำนวนมาก ดังนั้นเราต้องพยายามนำพาทั้งหมดไปให้ได้ด้วยความปลอดภัย นั่นคือหลักการของผม ที่ผ่านมาผมไม่เคยนิ่งนอนใจ ตั้งแต่มีความไม่เข้าใจกันก็ไม่ได้อยู่เฉย และพยายามทำทุกอย่าง ต้องเข้าใจว่า ผมพูดอะไรไม่ได้มาก หากไม่พูด ก็จะหาว่า ผมเป็นพวกทางนั้น พวกนี้ ผมเป็นห่วงประเทศชาติ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วิธีการแก้ปัญหาเป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องแก้ปัญหากันให้ได้ วันนี้หากต่างฝ่ายต่างพูดก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่จะตนเสนออะไรก็คงทำไม่ได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่เห็นชอบร่วมกัน วันนี้เราจะต้องสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัย และทหารกำลังดำเนินการเพื่อสู่กระบวนการการแก้ปัญหาแบบสันติวิธี เพื่อให้ทุกคนมีความพึงพอใจทั้งหมด อย่างเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ตนจะไม่ไปละเมิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไปแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต้องดูว่า จะทำอย่างไรให้สถานการณ์ตรงนี้หยุดได้ ทั้งในบางสถานการณ์ที่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง ตนสั่งให้บันทึกภาพไว้ทั้งหมดว่า ใครทำอะไร อย่างไร ทั้งนี้เราได้รับคลิปต่างๆมาให้ดู ซึ่งมองแล้วว่า เป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วง ตนยังไม่อาจจะใช้คำว่าใครผิดใครถูกได้ เพราะไม่สามารถชี้ได้ว่าเป็นอย่างไร
“ในความคิดของผมมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้น และคนกลุ่มนี้ทำให้คนกลุ่มใหญ่เสียหาย มองว่าคนกลุ่มใหญ่มีความปรารถนาดี ที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบใช้ความรุนแรง เขาอาจจะคิดว่าหากไม่ทำแรงก็ไม่จบ หรือไม่ชนะ ผมก็ไม่รู้ แต่วิธีการเหมือนปี 2553 ไม่รู้ว่า คนกลุ่มนี้ทำในปี 2553 ด้วยหรือไม่ หรืออาจจะสนุกหรือเอามันส์ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจมีอารมณ์หรือบางคนทนไม่ไหวเลยมีภาพความรุนแรงเกิดขึ้น ทางทหารเราเรียนรู้เรื่องความอดทน ยอมแม้กระทั่งเราโดนก้อนหินขว้างใส่ เพราะมิฉะนั้นความขัดแย้งจะขยายไปเรื่อยๆ
ผมอยากขอร้องคนส่วนนี้ซึ่งเป็นส่วนน้อย หรือเจ้าหน้าที่บางนายที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่ชอบไปทุบรถ จนกลายเป็นการสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งกับประชาชนส่วนหนึ่ง ทำให้ส่วนใหญ่ของสองฝ่ายเสียหาย การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยวิธีการสงบน่าจะทำได้ จะโกรธจะเกลียดอย่างไรเราเป็นเจ้าหน้าที่ต้องมีความอดทนที่มากกว่าคนปกติ แต่ถ้าไม่มีการบุกรุกเข้าไปเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีโอกาสจะใช้ความรุนแรง จะคุยกันได้หรือไม่อยู่ข้างนอกก็พอ แค่นี้ก็กดดันพอสมควรแล้ว นี่คือกระบวนการในการต่อสู้แบบประชาธิปไตยคือ ต้องสงบไม่ทำให้เจ้าหน้าที่เสียหาย ซึ่งการพูดแบบนี้ผมไม่ได้ตำหนิหรือเข้าข้างใคร " พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ตนให้บันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด หากจบจากเหตุการณ์จะต้องมาสอบสวนกัน ที่ผ่านมาเมื่อปี 2553 ยังไม่มีใครสอบสวนให้กองทัพ และยังไม่มีการตั้งคดีสอบสวนคดีให้กองทัพ ทั้งนี้ตนไม่อยากให้ไปถึงจุดเหมือนเมื่อปี 2553 ถ้าต่างคนต่างอยู่จะประท้วงอะไรก็ว่ากันไป อย่าคิดว่า การแก้ปัญหาจะทำได้เร็วมาก เพราะเมื่อมีการความรุนแรงจะลุกลามไปสู่การใช้อาวุธ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใครใช้ สิ่งเหล่านี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้โดยเร็วว่าใครใช้ปืนพกไปยิงอยู่บนตึก แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จะต้องมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าใครสั่งมาอย่างไร จะต้องสอบสวนให้ชัดเจน และจะต้องใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ขยายความขัดแย้ง ถ้ายังไม่เคลียร์ และยังมีคลิปโผล่เข้ามาอีก แทนที่กำลังจะดีก็จะทำให้สถานการณ์เกลียดกันมากกว่าเดิม ถามว่าจะจบกันอย่างไร ต้องฆ่ากันทั้งสองฝ่ายแล้วใครเหลืออยู่
“ผมจะเดินการทำงานของผม และจะไม่ขยายความขัดแย้ง ไม่ใช้ความรุนแรง แต่จะเสนอแนวทางที่สันติวิธีไม่สนับสนุนเรื่องการใช้กำลังในการเข้าไปราบปราม ถ้าประชาชนไม่ใช้อาวุธเหมือนปี 2553 ทั้งนี้ผมได้รับข่าวสารว่า มีคนบางคนบางจำพวกที่ชอบใช้บริการความรุนแรง เมื่อนำคนเหล่านี้มาใช้แล้วคุมไม่ได้ เพราะคนพวกนี้เป็นโนบอดี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นซัมบอดี้ขึ้นมาน่าเป็นห่วง ส่วนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 หรือไม่ ผมไม่มีความเห็นตรงนี้ เป็นเรื่องของกระบวนการเลือกตั้ง ทำได้ก็ทำไป เป็นเรื่องของ กกต. ถ้ามีเลือกตั้งผมก็ไปเลือกตั้ง ส่วนแนวทางการปฏิรูปประเทศกับแนวทางการเลือกตั้งจะเดินไปร่วมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายว่าจะยินยอมกันหรือไม่ ถ้าข้อตกลงพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็เลือกตั้งได้ ถ้าไม่พอใจก็เลือกตั้งกันลำบาก มันก็จะต้องตีกันแล้วใครจะไปเลือกตั้ง ทั้งนี้ผมคิดว่า ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปกันทุกเรื่องทุกด้าน ทั้งกระบวนการการเมือง เพื่อนำไปสู่ทันสมัยแบบสากล หากเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ คงไปกันลำบาก อยากให้ประชาชนไปพักผ่อน สวดมนต์ปีใหม่ ให้ใจเย็น ๆ ลง และไปกราบพ่อแม่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ให้ไปกราบพ่อแม่เสียก่อน กฎหมายใช้มากก็อันตรายใช้น้อยก็อันตราย ทำให้คนไม่นับถือไม่เคารพกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ติดตามข้อมูลข่าวสารจากแฟนเพจเฟสบุ๊คของ TCIJ
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ