ผมไม่เชื่อว่าคุณประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ นักการเมืองตกยุค จะกินดีหมีดีมังกรมาจากไหนจึงกล้าที่จะเสนอแก้ไขเนื้อหาของร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฉบับของคุณวรชัยจนบิดเบี้ยว เละเทะ ผิดหลักการและทรยศต่อมวลชนของตนเองที่ยอมทุ่มกายถวายชีวิตให้ได้เสวยสุขอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบสั่งจากคุณทักษิณ
ผมจะไม่พูดถึงประเด็นของเนื้อหาสาระในร่าง พรบ.เดิมและที่แก้ไขใหม่โดยการเสนอของคุณประยุทธ์เพราะได้มีการให้ความเห็นไว้แล้ว แต่ผมจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงความผิดพลาดของคุณทักษิณในกรณีนี้และในอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้คนที่รักและเกลียดคุณทักษิณได้นำไปพิจารณาว่าจะรักเพิ่มหรือเกลียดเพิ่มดี
เริ่มตั้งแต่สมัยที่เข้าสู่ตำแหน่ง หลายคนมีความหวังว่าคุณทักษิณเป็นคนที่สะตังค์มากแล้วคงจะเลือกที่จะเดินเส้นทางของการเป็น “รัฐบุรุษ (state man)”แทนที่จะเป็นนักการเมืองธรรมดาทั่วไปที่มีเยอะแล้วในประเทศไทย แต่คุณทักษิณก็เลือกที่จะเป็นนักการเมืองธรรมดาๆที่มุ่งเน้นเรื่องประชานิยม หวังผลของคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้า
แน่นอนว่านโยบายประชานิยมหลาย ๆ อย่างเข้าถึงรากหญ้าและเป็นแบบอย่างให้แก่ต่างประเทศนำไปปฏิบัติ คือ นโยบายกองทุนหมู่บ้าน หรือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่ต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายชิ้นโบว์แดง แต่หลายๆนโยบายก็มีปัญหา เช่น นโยบายการปราบปรามยาเสพติดด้วยการฆ่าตัดตอนและนโยบายภาคใต้ที่มีปัญหาในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนประเทศไทยถูกขึ้นบัญชีในเรื่องนี้ แต่เพื่อความเป็นธรรมนโยบายภาคใต้นั้นทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโดยการนำของคุณทักษิณหรือพรรคประชาธิปัตย์ก็ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาเช่นกัน
นอกเหนือจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วยังมีปัญหาในการทุจริตคอร์รัปชัน เล่นพรรคเล่นพวก เหมือนกับทุกรัฐบาล แทนที่จะมุ่งในแนวทางของการเป็นรัฐบุรุษที่คิดถึงคนในรุ่นต่อไปแต่กลับทำไม่ต่างจากนักการเมืองทั่วๆไป
ความผิดพลาดต่อมาก็คือการเข้าใจว่าตนเองเก่งและหลายคนก็เชื่อเช่นนั้นว่าคุณทักษิณเป็นนักการเมืองที่เก่งเพราะมีประสบการณ์สุดยอดของการเป็นข้าราชการมาก่อนก็คือการเป็นตำรวจซึ่งเป็นวงการที่สุดยอดแห่งความเขี้ยวของวงการข้าราชการไทยที่ต้องครบเครื่องในเรื่องของวิชามารประเภทไม่สามารถกระพริบตาได้เพราะจะหลุดจากจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา นอกจากจะเป็นตำรวจแล้วยังเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจอีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อคุณทักษิณเคยเป็นทั้งตำรวจและพ่อค้าในคนๆเดียวกันแล้วมาเล่นการเมืองจึงน่าจะเป็นนักการเมืองที่เก่งและครบเครื่อง
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคุณทักษิณตั้งอยู่ในความประมาทและหลงตัวเอง คิดว่าด้วยกำลังเงิน กำลังมือในสภา กำลังของเสียงประชาชนที่ชื่นชมประชานิยม คุณทักษิณจึงเกิดอาการ “อหังการ์ (arrogance)” ท้ารบกับเขาไปทั่วไม่ว่าจะเป็นผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ และที่สุดแห่งความประมาทก็คือไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำรัฐประหารต่อตัวเองเพราะเชื่อว่าตนเองตั้งมากับมือ ในที่สุดก็ประสบชะตากรรมอย่างที่เห็น ความผิดพลาดครั้งนี้เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากเพราะไปตั้ง ผบ.ทบ.ที่เป็นคนบ้ากล้าทำรัฐประหารทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประเทศถอยหลังและประสบปัญหาความวุ่นวายอย่างหนักตามมา
ความผิดพลาดตามมาก็คือการส่งคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วแต่กลับทำลายภาพลักษณ์ของคุณยิ่งลักษณ์อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะยิ่งนานวันความชื่นชอบคุณยิ่งลักษณ์ยิ่งมีมากขึ้นทุกวันๆ คุณทักษิณก็แทบจะเรียกว่าเรียกแขกให้คุณยิ่งลักษณ์ทุกวันๆเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอิน การออกข่าวว่าได้ไปริเริ่มกรุยทางให้คุณยิ่งลักษณ์ในนโยบายต่างๆในต่างประเทศ ฯลฯ
ความผิดพลาดครั้งล่าสุดนี้ก็คือการมอบใบสั่งให้คุณประยุทธ์รื้อร่าง พรบ.นิรโทษกรรมของคุณวรชัยแล้วพยายามดันจนสุดซอย แต่แทนที่จะไปสุดซอยแต่กลับไป “ผิดซอย” เพราะไม่ว่าจะดูในประเด็นไหนก็ยากจะยอมรับได้ ทั้งในประเด็นของเนื้อหาสาระและความชอบด้วยกฎหมายที่อย่างไรก็เสียก็ไปตกม้าตายอย่างแน่นอน
ผลแห่งความผิดพลาดของคุณทักษิณในครั้งนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือ เสื้อแดงแตก รัฐบาลถูกเขย่า ฟื้นชีพม็อบพันธมิตรในชื่อใหม่ ได้กลิ่นรัฐประหาร ฯลฯ
ด้วยมือในสภาหากจะดันกันจริงๆก็คงสามารถดันให้ผ่านไปได้ แต่ด่านสำคัญที่รออยู่คือศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถยกเหตุผลมาอธิบายคัดง้างได้อย่างแน่นอน แต่เอาหละหากเกิดปาฏิหาริย์ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญไปได้ ด่านที่สำคัญที่รออยู่ก็คือด่านที่ว่าด้วย “ความชอบธรรม(legitimacy)” การณ์ก็จะกลับมาเป็นว่าคุณทักษิณหรือพรรคพวกที่มีส่วนผลักดันในเรื่องนี้ ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหนมาไหนทั้งในและต่างประเทศก็จะถูกต่อต้าน ถูกตระโกนด่า เช่น ไอ้คนช่วยเหลือฆาตกร , the murderer supporter ฯลฯ
ผมเชื่อว่าด้วยการที่คุณทักษิณเป็นนักธุรกิจ ประเด็นการเดินผิดซอยในครั้งนี้ คุณทักษิณย่อมประเมินได้ว่าผลได้ไม่คุ้มกับผลเสียอย่างแน่นอน และหากจำเป็นก็ต้องยอม “เสียน้อย ดีกว่าเสียมาก” หรือ cut loss นั่นเอง
กลับบ้านด้วยวิธีอื่นเถอะครับ เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 309 หรือลงมติรับวาระสาม ม.291 ที่ค้างคาในสภา ฯลฯ ดีกว่าครับ เท่กว่าเยอะเลย
อย่าดันทุรังเลยครับยอมเสียหน้าดีกว่าเสียอนาคตนะครับ หากยังขืนดันทุรัง อย่าว่าแต่ตัวจะไม่ได้กลับมา กระดูกก็ยังอาจไม่ได้เอากลับมาเสียด้วยซ้ำ เพราะถูกรังเกียจที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นขึ้นหลังจากที่บ้านเมืองกำลังจะเข้าที่เข้าทาง
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2556
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ