ชาวสวนยางในภาคใต้ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลด้วยการปิดถนนสายหลัก โดยเรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคารับซื้อยางในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ในขณะเดียวกันทางฝ่ายรัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอรับซื้อยางแผ่นดิบที่ราคา 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งในปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ประมาณ 76 บาท นอกจากนี้ รัฐบาลจะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเงินกู้แก่เกษตรกรสวนยางเป็นวงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท โดย 5,000 ล้านบาทจะช่วยลงทุนในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มคุณค่า และอีก 15,000 ล้านบาทลงทุนในการอัพเกรดอุปกรณ์ และขณะนี้การแก้ปัญหายังไม่คลี่คลาย
ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัย ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาการแทรกแซงราคายางในประเทศไทยว่า ตัวแปรที่กำหนดราคายางมี 2 ตัวแปรหลัก คือ ราคาน้ำมันกับ เศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยเศรษฐกิจโลกก็สะท้อนไปสู่อีกตัวแปร คือความต้องการใช้ยางของประเทศที่สำคัญ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น พอราคายางเริ่มสูงขึ้นมีประเทศต่าง ๆ หันมาปลูกยางมากขึ้น และเมื่อดูรอบบ้านเราจะเห็นว่าในระยะหลังหลายประเทศอย่าง ลาว กัมพูชา จีน สิบสองปันนาเรื่อยไปจนถึงปากีสถาน ฯลฯ ก็หันมาปลูกยางกันมากขึ้น ยางใช้เวลา 5-6 ปีจึงจะเริ่มกรีดได้ และในช่วงนี้ก็เป็นช่วงมีผลผลิตออกมามากขึ้นนี่เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่สะท้อนว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงยางขาลงและคาดว่ายังจะลงต่อ
แทรกแซงสินค้าเกษตรไม่ง่าย
ดร.วิโรจน์กล่าวว่า รัฐบาลอาจจะมีเหตุผลในการช่วยเกษตรกรรับมือกับราคาที่ตกต่ำกะทันหัน แต่รัฐบาลไม่ควรตั้งเป้ายกระดับราคาให้สูงกว่าราคาตลาดโลก ยางเป็นสินค้าเกษตรอีกตัวอย่างหนึ่งที่รัฐบาลพยายามและมีมาตรการมาหลายอัน เช่น การร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อกำหนดราคาสินค้าเกษตร ซึ่งยางเป็นตัวที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด คือมีการประชุมที่เรียกว่า ITRC และมีการตั้งองค์กรที่เรียกว่า IRCo โดยเป็นความร่วมมือของประเทศหลักที่ปลูกยางพารามากที่สุดของโลก 3 ประเทศคือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ปีที่แล้วช่วงที่ราคายางต่ำลง ก็มีการประชุมแต่ก็หาทางออกไม่ได้ เสร็จแล้วก็ให้แต่ละประเทศกลับไปลดการส่งออกร้อยละ 10 ซึ่งในทางปฎิบัติไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง IRCo ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ว่า ตั้งขึ้นมาในช่วงราคาค่อนข้างดีคนที่เอามาตรการนี้มาใช้ก็คุยกันว่า สามารถทำให้ราคายางดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พอถึงยามที่ราคายางตกลงเราก็ได้รู้ว่าองค์กรนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย
เปรียบเทียบข้าวกับยาง
ดร.วิโรจน์กล่าวต่อว่า หากจะเปรียบเทียบการช่วยเหลือระหว่างข้าวกับยาง จะเห็นว่าปีที่แล้วรัฐบาลนี้มีมาตรการแทรกแซงตลาดยาง ซื้อยางเข้ามาและตอนนี้มีสต๊อกยางอยู่กว่า 2 แสนตัน จำนวน 2 แสนตันอาจจะฟังดูน้อยเมื่อเทียบกับสต๊อกข้าว แต่อย่าลืมว่าราคายางหนึ่งกิโลกรัมกับข้าวหนึ่งกิโลกรัม ยางราคาสูงกว่าข้าวมาก รัฐบาลใส่เงินเข้าไปรับซื้อยางสองครั้งไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และเราก็มีสต๊อกยางซึ่งรัฐบาลก็ไม่กล้าเอามาขาย เพราะกลัวว่าถ้าเอามาขายจะทำให้ราคายางตกลงไปอีก
รัฐบาลเริ่มเรียนรู้จากทั้งเรื่องข้าวและยางว่าไม่สามารถสู้กับตลาดได้ เรื่องข้าวรัฐบาลก็พยายามหาทางลงโดยเจรจากับชาวนา แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องเห็นใจชาวนาด้วยว่า โครงการของรัฐบาลดึงให้ต้นทุนของชาวนาสูงขึ้นจริง การปรับตัวก็เป็นเรื่องยากพอสมควร คิดว่าพอมีเรื่องข้าวเกิดขึ้นและรัฐบาลกำลังพยายามหาทางลง พอมีเรื่องยางขึ้นมาในช่วงนี้ รัฐบาลจึงลังเลที่จะใช้วิธีการเข้าไปทำแบบเดียวกับข้าว
สำหรับทางออกต้องเข้าใจว่าข้าวต่างกับยาง สำหรับข้าวเราบอกว่า เราเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก จากผลผลิตเราไม่เกินร้อยละ 7ของโลก แต่ยางเราเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้เราจะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แต่เราก็ไม่สามารถกำหนดราคาตลาดโลกได้จริง หรือแม้กระทั่งว่าเราเป็นอันดับหนึ่งและสามประเทศหลัก รวมกันมีผลผลิตถึงร้อยละ 70 แต่ว่าเวลามีประเทศอื่นผลิตออกมาก็ยังมีผลกระทบ และสามประเทศหลักเองก็ไม่สามารถคุมราคาของยางในตลาดโลกได้
อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า การที่คิดจะไปสู้กับสินค้าเกษตรไม่ง่าย และตัวอย่างของยางที่ดีอีกอันหนึ่งก็คือว่า การที่เราผลิตมาก มีส่วนที่ใช้ภายในประเทศแค่ประมาณร้อยละ 15 อีกร้อยละ 85 ส่งออก คนชอบพูดกันว่าเราควรจะแก้ปัญหานี้โดยการหันมาใช้ยางในประเทศมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงก็คือว่า ในเมื่อเราส่งออกถึงร้อยละ 85 แม้เราจะใช้ยางเพิ่มขึ้นเป็น 2-4 เท่า โจทย์ก็จะไม่เปลี่ยน เพราะยางจำนวนมากก็จะต้องส่งออกและราคายางก็ยังต้องไปโยงกับราคาตลาดโลกเหมือนเดิม อันนี้จึงไม่ใช่ทางออกเหมือนกัน
ทางออกยอมถอยก็แก้ได้
ดร.วิโรจน์เสนอทางออกว่า ถ้ายอมถอยและยึดหลักการไม่พยายามไปสู้กับตลาด สิ่งที่รัฐบาลทำได้คือ ทำให้ราคาในประเทศผันผวนน้อยกว่าราคาตลาดโลก โดยอาจใช้มาตรการเก็บภาษีเวลาราคาในตลาดโลกสูง และเวลาราคายางตกต่ำก็มาอุดหนุนการส่งออกแทน เป็นการแทรกแซงเมื่อจำเป็น ซึ่งคงมีข้อถกเถียงกันได้มากว่าแค่ไหนถึงหลายคนก็พูดถึงต้นทุน แต่จะชี้ข้อเท็จจริงอันหนึ่งคือ ยางที่กำลังกรีดกันในวันนี้ ต้องมองถอยหลังไปที่ 5 ปีครึ่ง สำหรับภาคใต้และนานกว่านั้นสำหรับภาคอีสาน ณ เวลาที่เกษตรกรตัดสินใจปลูกกัน ก็คงคงคิดต้นทุนและราคาที่จะขายได้ไว้แล้ว ซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าเกษตรกรแทบจะไม่มีใครที่คิดว่าแทบจะได้ราคาสูงกว่า กิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนต้นทุนก็คงพูดได้ว่าต่ำกว่า 50 บาท แต่ทีนี้หลังจากปลูกมาแล้วก็เกิดสถานการณ์ที่ว่า ใน 2-3 ปี ถัดมาราคายางขยับขึ้นมา 70 บาท ไปจนถึงมากกว่า 100 บาทและก็กลับมาลดลง
ช่วงที่ยางขึ้นไปเกิน 100 บาทหรือ 100 บาทปลายๆ เกษตรกรก็มีฐานะดีขึ้นมาก ดูได้จากยอดการซื้อรถกระบะที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในแง่หนึ่งอาจพูดได้ว่า ช่วงนั้นเป็นลาภลอยของชาวสวนยาง ไม่ได้เป็นฝีมือจากใครแต่มาจากปัจจัยน้ำมันที่สูงขึ้นตอนนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อราคาตกลงมา เกษตรกรซึ่งคิดว่าราคาควรจะยืนอยู่ในระดับสูงก็อาจจะรู้สึกว่าแย่หรือตัวเองไม่ได้รับความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามการจะทำระบบรักษาเสถียรภาพราคายางก็ต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ด้วย คิดว่าราคาที่เกิน 100 บาทหรือใกล้ ๆ 100 บาท เป็นราคาที่ไม่สามารถคาดหวังได้ในระยะยาว
จากข้าวถึงยางแนะทบทวนนโยบายแทรกแซงสินค้าเกษตร
ดร.วิโรจน์กล่าวด้วยว่า บทเรียนที่รัฐบาลได้แม้จะยังไม่ได้ยอมรับเต็มปากคือ ไม่สามารถไปสู้กับราคาตลาดโลกได้จริง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร ปัญหาที่รัฐบาลสร้างและพยายามหาทางลง คือ รัฐบาลมีปัญหากับข้าวและพยายามแก้ปัญหาโดยการปรับนิดปรับหน่อย ปรับราคาและยอดรับจำนำลง โดยหวังจะทำให้ตัวเลขค่าใช้จ่ายลดลง รวมถึงแนวทางอื่น ๆ แล้วคิดว่าปรับแล้วมันจะพอไปได้ คิดว่ารัฐบาลจะเอาตัวรอดจากตรงนี้ได้ ก็ต่อเมื่อ ไม่มีปัญหาอื่นแทรกเข้ามา และเราก็ได้เห็นว่ามันไม่จริง เพราะตอนนี้ยางก็เป็นประเด็นขึ้นมา และอาจจะมีที่ตามมาอีกคือ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ฯลฯ
ตอนนี้ถ้ารัฐบาลได้รับบทเรียนแล้วก็เป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะได้ทบทวนนโยบายสินค้าเกษตรโดยรวม และถ้ารัฐบาลทำแบบนั้นก็จะทำให้ไม่ถูกข้อกล่าวหาด้วยว่า ทำไมช่วยชาวนาแต่ไม่ช่วยชาวสวนยาง เพราะถ้ามองแค่ตัวเลขราคา 1.5 หมื่นบาท กับ 120 บาท ก็เป็นราคาที่สูงกว่าตลาดทั้งคู่ และก็จะเห็นว่าการที่เราได้พยายามสู้แล้ว แต่เราสู้กับตลาดไม่ไหว เราก็ควรเปลี่ยนแนวทางไปเลยในเรื่องของนโยบายสินค้าเกษตรโดยรวม
ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก ไทยรัฐ Google
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ