หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าในช่วงเวลาแค่ 40 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงไปกว่าครึ่ง กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) เปิดเผยรายงาน Living Planet Report 2014 คือ รายงานผลการวิจัยชี้แจงข้อมูลแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรโลกฉบับที่ 10 ที่ WWF จัดทำขึ้นทุก ๆ 2 ปี เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรของโลกในด้านต่าง ๆ เช่น สัตว์ป่า ผืนป่า แหล่งน้ำ และพลังงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชากรมนุษยชาติ โดยเป็นรายงานที่ติดตามสถานภาพและจำนวนประชากรของสัตว์ป่ากว่า 10,000 สายพันธุ์ นับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมาและเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลที่เรียกว่า The Living Planet Index ซึ่งได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากองค์กรพันธมิตร Zoological Society of London และข้อมูลในส่วนของสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับรอยเท้าคาร์บอนนั้นได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากองค์กร Global Footprint Network
สัตว์ป่าหายไปมากกว่า 52 เปอร์เซนต์ทั่วโลกใน 40 ปี
มาร์โค ลัมเบอร์ตินี ผู้อำนวยการ WWF International กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของ Living Planet Report 2014 คือ การเปิดเผยข้อมูลวิกฤตการณ์การสูญเสียจำนวนประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลาน ที่หายไปจากโลกมากกว่า 52 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยมีอยู่ทั้งหมด ภายในช่วงระยะเวลาแค่เพียง 40 ปีที่ผ่านมา และการสูญเสียดังกล่าว เกิดขึ้นมากในทวีปเอเชียเป็นอันดับสอง รองจากทวีปอเมริกาใต้ในระยะเวลาเท่ากัน
“ความหลากหลายทางชีวภาพถือเป็นส่วนสำคัญที่เกื้อหนุนทุกชีวิตบนโลก และเป็นตัวชี้วัดว่าเราได้ทำร้ายโลก บ้านที่มีอยู่เพียงหลังเดียวของเราไปมากมายแค่ไหนเเล้ว และตอนนี้โลกต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน จากทุกภาคส่วนของสังคมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของโลกใบนี้ และเพื่ออนาคตของมนุษยชาติรุ่นหลัง”
รัฐพล พิทักษ์เทพสมบัติ ผู้จัดการฝ่ายงานอนุรักษ์ WWF-ประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่สร้างความสูญเสียให้กับความหลากหลายทางชีวภาพและชนิดพันธุ์ทั่วโลกก็คือ การถูกคุกคามและสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัย การเสื่อมถอยของสายพันธุ์ การถูกล่า และสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และในรายงาน ยังระบุว่า จำนวนสายพันธุ์นับพันๆ ชนิดที่ถูกระบุว่าสูญพันธุ์ไปแล้วนั้น เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในเขตผืนป่าร้อนชื้นกว่า 56 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าเขตอบอุ่นที่มีรายงานการสูญหายของสายพันธุ์อยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์
“เรารู้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่นั้นจำกัด การหายไปของทรัพยากรก่อให้เกิดต้นทุนมากมาย ซึ่งมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อท่านใน 5 วัน หรือ 10 วันแต่มันจะส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคนในเวลาไม่ช้า”
เราต้องการโลกถึง 1.5 ใบ
ผู้อำนวยการ WWF International กล่าวอีกว่า ขณะที่ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง แต่จำนวนประชากรและความต้องการทรัพยากรทั่วโลกกลับเพิ่มสูงขึ้น มีการเปรียบเทียบจากสถิติว่า มนุษยชาตินั้นใช้ทรัพยากรที่โลกสามารถให้กับเราได้ในแต่ละปีเกินไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงเราต้องการโลก 1.5 ใบในการผลิตทรัพยากรให้เพียงพอต่อการบริโภคของมนุษย์ในทุกวันนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีโลก เพียงใบเดียว
โดยสิบอันดับประเทศที่มีรอยเท้านิเวศต่อคนใหญ่ที่สุด คือ Kuwait, Qatar, United Arab Emirates, Denmark, Belgium, Trinidad and Tobago, Singapore, United States of America, Bahrain และ Sweden
เมืองใหญ่ทั่วโลกใช้พลังงานไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
รายงาน Living Planet Report 2014 เล่มนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Living Planet Report ที่จะพูดถึงประเด็นการใช้ทรัพยากรของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เพราะเมืองใหญ่ทั่วโลกคือสถานที่ ๆ ใช้พลังงานและสร้างรอยเท้าคาร์บอนให้กับโลกนี้มากที่สุด ข้อมูลในรายงานได้ระบุว่าเมืองใหญ่ทั่วโลกนั้นใช้พลังงานไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานที่ผลิตได้ทั้งหมด นอกจากนี้กว่าหนึ่งในสามของเมืองสำคัญของโลกต่างก็ใช้น้ำดื่มที่พึ่งพาน้ำจากพื้นที่ป่าสงวนในประเทศ อย่างไรก็ตามเมืองใหญ่เหล่านี้อาจเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิมได้ ด้วยการใช้พลังงานทางเลือกที่ไม่ก่อเกิดมลภาวะ
การเสนอแนะแนวทางสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนา และการลดการสร้างรอยเท้าคาร์บอนให้กับโลกคือหัวใจหลักของรายงาน Living Planet Report 2014 ฉบับนี้ ได้นำเสนอแนวคิดงานวิจัยที่สามารถระบุได้ว่า มนุษย์สามารถพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นพร้อม ๆ กับลดการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นได้หากคิดที่จะทำ
มุมมองของโลกใบเดียวกัน คือ ทางออกที่ยั่งยืน
รายงาน Living Planet Report 2014 ยังได้นำเสนอแนวคิด “มุมมองของโลกใบเดียวกัน” หรือ “One Planet Perspective” ที่เสนอทางออกโดยมุ่งเน้นการรักษาต้นทุนทางธรรมชาติ กระบวนการผลิตที่ดีขึ้น การบริโภคอย่างชาญฉลาด การเปลี่ยนทิศทางกระแสการเงิน และดูแลทรัพยากรอย่างเท่าเทียมมากขึ้น ที่จะเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนา การปกป้องรักษา การผลิต และการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติที่ดีกว่าเดิมได้จากแบบอย่างการพัฒนาที่ไม่ส่งผลกระทบถึงธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จในมาแล้วในหลายประเทศทั่วทวีปเอเซียและทั่วโลก
เมืองใหญ่ในเอเชียกับ“มุมมองของโลกใบเดียวกัน”
แม้ว่าการสรรหาแนวทางพัฒนาที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อโลกไปพร้อม ๆ กันนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลากเมืองทั่วทวีปเอเซียและทั่วโลกที่ได้รับการสนับสนุนจาก WWF และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้แนวคิด “มุมมองของโลกใบเดียวกัน” หรือ “One Planet Perspective” ต่างแสดงให้เราเห็นแล้วว่าหากทุกคนร่วมใจกันทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้ และด้วยข้อมูล สถิติ เนื้อหาและตัวอย่างใน รายงาน Living Planet Report 2014 การพัฒนาอนาคตที่ยั่งยืนของโลกและพวกเราทุกคนนั้นสามารถเป็นจริงได้ หากเรากล้าที่จะทำ
นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน: รัฐบาลจีนผลักดันและสนับสนุนการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาสิ่งปลูกสร้าง เพื่อสร้างพลังงานทางเลือก และลดค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวและธุรกิจ และเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ที่ประสบความเร็จในการผลักดันแนวคิดสวนผักคนเมือง โดยกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของพืชผักที่ชาวเมืองเซี่ยงไฮ้บริโภค ได้มาจากการปลูกและเกี่ยวเก็บในพื้นที่รอบเมือง ซึ่งช่วยลดปริมาณรอยเท้าคาร์บอนจากการขนส่ง ช่วยเพิ่มงานและการกระจายรายได้ รวมไปถึงลดภาระให้กับระบบนิเวศอีกด้วย
กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้: เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า พลังงานเชื้อเพลิงคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สร้างภาระให้กับรอยเท้านิเวศของโลกอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองโซลเกือบหนึ่งล้านคนได้เข้าร่วมและสนับสนุนกิจกรรม “วันงดใช้ถนน” หรือ “No Driving Day” ที่ภายใน 1 สัปดาห์จะมี 1 วันที่ทุกคนจะใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนรถส่วนตัวเพื่อรถการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยปรับคุณภาพอากาศภายในเมืองให้ดีขึ้นและยังเป็นการบรรเทาปัญหาการจราจรได้อีกทางหนึ่งด้วย
เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่คำนึงถึงอนาคตสีเขียวที่ยั่งยืนของโลก ด้วยร่างข้อบังคับว่าด้วยรายการสินค้าสีเขียวที่เป็นมิตรต่อโลก ซึ่งชาวเมืองเซนไดได้เป็นหนึ่งในเมืองหลักของการสร้างเครือข่ายสินค้าสีเขียวนี้ด้วยการร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนในสังคมกว่า 1,000 องค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนและเครือข่ายอาสาสมัคร
เดนมาร์ก : ในเดือนธันวาคม 2013 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดนมาร์กกว่า 57.4 เปอร์เซนต์ ได้มาจากพลังงานลม อันเป็นผลมาจากนวัตกรรมและนโยบายสนับสนุนในหลายทศวรรษที่ผ่านมา
Earth Hour City Challenge: ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของเมืองแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่เมืองที่มีรอยเท้านิเวศต่ำลงเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ออสเตรเลีย: แนวทางการเกษตรน้ำตาลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยในการอนุรักษ์แนวปะการัง Great Barrier Reef โดยการลดผลกระทบจากสารเคมีและการชะล้างหน้าดิน
“ข้อมูลที่แม่นยำและพิสูจน์ได้ของรายงาน Living Planet Report ฉบับล่าสุดนี้ ได้เฉลยความจริงที่ว่าเราชะล่าใจมานานและเหลือเวลาอีกไม่มากนักสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของโลก เราจำเป็นที่จะต้องคว้าโอกาสไว้ในขณะที่เรายังสามารถทำได้ เพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดต่ออนาคตของมนุษยชาติรุ่นหลังและโลกใบนี้ที่ซึ่งเป็นบ้านเพียงหลังเดียวของพวกเราทุกชีวิต”
ขณะที่ เยาวลักษณ์ เธียรเชาวน์ ผู้อำนวยการ WWF-ประเทศไทย กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ทำให้ WWF-ประเทศไทย มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะกระตุ้นให้ทุกฝ่ายได้ทำงานร่วมกันในอนาคตในประเด็นสิ่งแวดล้อมในขอบเขตที่กว้างขึ้นเพื่อร่วมพัฒนากิจกรรมอนุรักษ์ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลน้ำ ผืนป่า สัตว์ป่า ทะเลเมืองชุมชน และประเทศของเราให้ดีกว่าเดิมและดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน อันจะช่วยรักษาสุขภาพของโลกที่มีอยู่เพียงใบเดียวของเราให้คงอยู่ได้อย่างแข็งแรง
ในปีนี้ฐานข้อมูลสถิติความหลากหลายของสายพันธุ์ The Living Planet Index ได้นำหลักการใหม่ในการวิจัยเข้ามาพัฒนาการทำให้ข้อมูลที่ได้นั้นมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้เราได้เห็นภาพของสถานการณ์ของธรรมชาติและโลกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และด้วยข้อมูลที่ชี้ให้เราเห็นว่า ธรรมชาติและโลกกำลังต้องการความช่วยเหลือ รายงานฉบับนี้อาจเป็นตัวช่วยให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคสังคม และทุก ๆ คนบนโลกได้ตระหนักถึงเวลาที่เหลือน้อยลงทุกทีสำหรับทางเลือกสู่อนาคตที่ยั่งยืนของเราและโลกใบนี้
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ