กว่าจะรู้ทันสื่อ

13 ก.ค. 2557


 

จริงๆแล้ว  การรู้เท่าทันสื่อ  หรือ Media literacy  เป็น”ทักษะชีวิต” ไม่ใช่แต่เพียงเป็น”ความรู้”อย่างหนึ่ง  อย่างที่นักวิชาการบางท่านและภาคประชาสังคมบางกลุ่ม  พยายามผลักดันให้เป็นหลักสูตรในสถานศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน   การรู้ทันสื่อในฐานะทักษะชีวิตจึงไม่มีสูตรตายตัว  หากแต่ยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนในยุคสมัยของสื่อหลากหลายและโซเชียลมีเดีย 

ทักษะชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็ก  ในช่วงการก่อรูปความเข้าใจต่อโลกรอบตัวที่จะค่อยสะสมความรับรู้-ความเข้าใจจากรูปธรรมสู่นามธรรม  เช่น ไฟมันร้อนเล่นกับมันแล้วเจ็บแสบแบบไหน  เรียกมันว่า         ”อันตราย”  ฯลฯ  ไปจนถึงความเข้าใจว่า  ตัวเราสัมพันธ์กับคนอื่นยังไง  นอกจากพ่อแม่แล้ว  ใครควรคบไม่ควรคบ  โฆษณาในทีวีทำให้เราอยากซื้ออยากได้  แต่ก็รู้ว่าเขาขายของ  เป็นต้น  เรียกว่า”ความรู้เท่าทัน” ซึ่ง  เป็นทักษะที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวัน   ดังนั้น  อย่างที่หลักสูตรหรือทฤษฎีรู้เท่าทันสื่อบอกไว้ว่า  สื่อเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น  สื่อมีจุดประสงค์และทัศนคติของเขา  อะไรเหล่านี้  จึงเป็นตัวความรู้ที่หากไม่นำไปสู่การเกิดประสบการณ์ตรงของแต่ละช่วงวัย  ก็อาจไม่สามารถประทับอยู่ในวิธีคิดของเราได้

ดิฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมา  เพราะติดตามการขับเคลื่อนและการณรงค์เพื่อสร้างการรู้เท่าทันสื่อมานานนับสิบกว่าปี ของกลุ่มภาคสังคม  ทั้งเครือข่ายเท่าทันสื่อประเทศไทย  แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.)รวมถึง  กสทช. และเครือข่ายโรงเรียน  ได้เห็นความเอาการเอางานและพัฒนาการด้านกลยุทธ์หลายอย่าง  ทั้งการผลักดันเชิงนโยบาย  ทั้งการระดมพลังปัญญาจากปัจเจกและเครือข่าย  มีความพยายามจะก่อตั้งกองทุนขนาดใหญ่เพื่อดำเนินการต่อเนื่องจริงจัง  การทดลองและพัฒนากิจกรรมกระบวนการรู้ทันสื่อ  การฝึกให้เด็กๆเป็นผู้สร้างสื่อผลิตสื่อ  และการให้ความรู้เชิงบวกว่าสื่อสร้างสรรค์ควรเป็นอย่างไร  เป็นต้น 

ที่เอาใจช่วยอยู่ก็เห็นว่า  มันเป็นประเด็นใหญ่และยากเพียงใด  และมันก็แทบเป็น The Impossible Dream  เพราะจะต้องอาศัย”ต้นทุน”ของการศึกษาไทยทั้งระบบ  ที่จะทำให้เยาวชนไทย ค.ว.ย. หรือ รู้จัก “คิด-วิเคราะห์- แยกแยะ”  ซึ่งหมายถึง  การสร้างระบบคิดหรือ Methodology of Thinking  ด้วยหลักเหตุผลและกลวิธีต่างๆในกระบวนการเรียนการสอนทั้งหมดทุกวิชา  รวมทั้งครูผู้สอนเอง  ก็จะต้องสามารถให้ข้อมูล ให้คำอธิบายที่เข้ากับยุคสมัย  สามารถบูรณาการข้ามศาสตร์ข้ามวิชาได้  พูดง่ายๆคือ ครูผู้สอนไม่ว่าในวิชาไหน  ก็จะต้องมีความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อเสียก่อน จึงจะสอนหรือถ่ายทอดให้เด็กได้  และที่สำคัญคือ  มีความเป็นนักประชาธิปไตยด้วย  ซึ่งหมายถึงคุณภาพของครู  คุณภาพของระบบการศึกษาทั้งระบบ

ก็ลองนึกดูว่า  ในบรรยากาศของห้องเรียนแบบที่ครูกางตำราสอน  หรือใช้เวลากับการพร่ำบ่นด่าว่านักเรียน  กระทั่งลงมือฉีกกระโปรงนักเรียนหาว่านุ่งสั้น  ตบหน้านักเรียนหาว่าไม่เคารพครู  ต่อให้เป็นวิชาวิทยาศาสตร์  แต่บรรยากาศแห่งการใช้อำนาจ  ปิดกั้นการถกเถียงเช่นนี้  จะหวังให้เด็กไทยคิดได้คิดเป็นได้อย่างไร  ดังนั้น  การรู้เท่าทันสื่อ  จึงไม่ใช่การมีหลักสูตรรู้เท่าทันสื่อเพิ่มขึ้นมา  ที่น่าหวั่นเกรงว่าจะลงเอยแบบเดียวกับหลักสูตรท้องถิ่นหรือหลักสูตรภูมิปัญญา  ที่กลายเป็นหลักสูตรอีกหลักสูตรหนึ่งที่มีคู่มือสำเร็จ รูปสำหรับครูอีกด้วย

ยากยิ่งไปอีก  เพราะต้นทุนชีวิตในการรู้เท่าทันอะไรก็ตามแต่  ไม่อาจได้มาจากการคาดหวังหรือฝากความ หวังไว้กับครูและระบบโรงเรียนเท่านั้น  ก็เหมือนกับที่เราอยากให้เด็กไทยรักการอ่าน  แต่ถามว่า ถ้าเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นพ่อแม่อ่านหนังสือเป็นนิสัย  เพราะการศึกษาไทยทำให้เมื่อเรียนจบแล้วไม่อยากอ่านความรู้อะไรอีกเลย  ในบ้านจึงเปิดทีวีทั้งวี่วัน  ไม่มีห้องสมุดที่น่าเข้า เพียงพอหรือเข้าถึงได้ง่าย  เป็นต้น  ฉันใดฉันนั้น  การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นทักษะของชีวิต  ที่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมของชีวิตหรือสังคมที่จะบ่มเพาะมัน  ซึ่งรวมไปถึงการมีสื่อมวลชนที่โปร่งใส  แม้มีความเห็นทางการเมืองต่างๆกัน  แต่ก็ทำหน้าที่ค้นหาความจริงและพูดความจริงด้วยข้อมูลด้วยหลักฐาน  การมีบรรยากาศทางการเมืองที่ยอมให้มีการถกเถียง เปิดเผย  การทำให้บ้านเมืองมีกติกาที่เป็นธรรม  มีการเปิดพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้ถ่วงดุลกัน   พร้อมๆไปกับการเสริมหลักคิดและภูมิคุ้มกันการรู้เท่าทันสื่อ  อย่างที่ภาคประชาสังคมกำลังขับเคลื่อนกันอยู่   เพื่อให้เยาวชนของเราอยู่ในบรรยากาศของการกล้าคิด  กล้าตั้งคำถาม  เชื่อมั่นว่าแม้ตนจะเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ  แต่ก็มีศักดิ์ศรีและสังคมจะให้โอกาส  เรียนรู้จากชีวิตจริงว่า  ทำไมสื่อนี้พูดไม่เหมือนสื่อนั้น  ทำไมสื่อนั้นสัมภาษณ์แต่คนนี้  คนนี้เมื่อก่อนพูดอย่างหนึ่ง  ตอนนี้ทำไมพูดอีกอย่างหนึ่ง  รู้ทันนะ อีตาเสี่ยคนนี้แจกเงินรวยเปรี้ยงอีกแล้ว  ฯลฯ

ที่พูดมาทั้งหมดนี้  ดิฉันเองก็ตระหนักว่า  ประเทศเราแทบไม่เหลือระบบอะไรที่เข้มแข็งพอจะค้ำยันปัญหาวิกฤตเวลานี้   แต่ก็ยังอยากตั้งความหวังเพราะความหวังทำให้คนมีชีวิตอยู่  ว่า  ถ้าเราช่วยกันมองให้เห็นถึงปัญหาที่”ลึกสุด”ของประเด็น  จะทำให้เรายิงศรตรงเป้าได้บ้าง  

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: