ติงนายกฯเร่งถกเอฟทีเอมีแต่เสียเปรียบ ‘เอฟทีเอว็อทช์’ระบุสูญถึงปีละ1.9แสนล.

ทีมข่าวศูนย์ข่าว TCIJ 7 มี.ค. 2557 | อ่านแล้ว 1361 ครั้ง

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ออกแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค Yingluck Shinawatra เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า “เป็นที่น่าเสียดายที่ทางสหภาพยุโรปได้ระงับการเจรจาเอฟทีเอกับไทย เนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมือง และความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้การเจรจาล่าช้าออกไป มีแนวโน้มที่จะไม่ทันการถูกตัดสิทธิ GSP ของไทยในปี 2558 ซึ่งนอกจากจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าแล้ว ยังอาจส่งผลให้บรรษัทข้ามชาติย้ายฐานการผลิต หรือตัดสินใจลงทุนในประเทศที่มีสิทธิพิเศษทางการค้าไม่ว่าจะเป็น GSP หรือ FTA แทนที่จะลงทุน หรือทำธุรกิจต่อเนื่องในประเทศไทย”

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง มีข้อสังเกตดังต่อไปนี้

1.การที่สิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System of Preferences : GSP) ที่ผู้ส่งออกไทยเคยได้รับอยู่ และมีโอกาสจะถูกตัดสิทธินี้ในปลายปีหน้านั้น เป็นเพราะสิทธิพิเศษของประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศด้อยพัฒนา แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อหัวของไทยขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง 3 ปีติดต่อกัน และสินค้าที่จะถูกตัดสิทธิพิเศษนั้น มีส่วนแบ่งการตลาดเกิน 17.5 เปอร์เซนต์ ไปแล้ว

นอกจากนี้ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ระบุว่า แม้จะถูกตัดสิทธิ GSP ทั้งหมด จะส่งผลกระทบกับการสูญเสียรายได้ จากการถูกแย่งตลาด ประมาณ 2,562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 79,422 ล้านบาท) ไม่ใช่ทั้งหมดของมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยที่ใช้สิทธิจีเอสพี มีมูลค่ากว่า 2.97 แสนล้านบาท แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม จากงานศึกษาชิ้นล่าสุดของคณะผู้แทนถาวรไทย ในองค์การการค้าโลก เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2555 ประเมินว่า ผลกระทบของการปฏิรูป GSP ของสหภาพยุโรปต่อการส่งออกของไทยอยู่ที่ 1,080 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 34,560 ล้านบาท) เท่านั้น ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่จะได้ผลกระทบ ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิกส์ กุ้งแช่แข็ง และแปรรูป

2.การเจรจาเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ซึ่งเจรจาไปแล้ว 3 รอบนั้น ถูกกำหนดโดยฝ่ายนโยบายให้เป็นไปด้วยความเร่งรีบ เพื่อสามารถต่อสิทธิ GSP ได้ทันต้นปี 2559 จึงกำหนดร่วมกับทางสหภาพยุโรปให้เจรจาให้เสร็จเพียง 7 รอบ ใช้เวลาทั้งสิ้นปีเศษ ๆ เท่านั้น ทั้งที่เป็นเอฟทีเอที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางมากที่สุดเท่าที่ไทยเคยเจรจามา และมีหลายหัวข้อที่ไทยไม่เคยเปิดเจรจาในความตกลงอื่นมาก่อน เช่น ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยา และความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการคุ้มครองการลงทุน

การเร่งเจรจาเพียงเพื่อหวังให้ได้ต่อสิทธิ GSP ทำให้ผู้เจรจาฝ่ายไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก และอาจถูกกดดันให้ต้องยอมตามประเด็นอ่อนไหวข้างต้น ซึ่งจะมีผลกระทบเสียหายยาวนานข้ามรัฐบาล และข้ามชั่วอายุคน ซึ่งจากการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพของทีมวิชาการ โดยความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

ในส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจนั้นพบว่า หากไทยต้องยอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปให้มีการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้อง ที่มากเกินกว่าความตกลงทริปส์และเป็นประเด็นที่สหภาพยุโรปต้องการมากที่สุด พบว่าในปีที่ห้า (พ.ศ.2556 โดยคำนวนจากปี พ.ศ.2550 เป็นปีที่ทำการศึกษา) ถ้ามีการผูกขาดข้อมูลยา ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงขึ้นอีก 81,356 ล้านบาท/ปี และหากต้องยอมการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี ซึ่งมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 27,883 ล้านบาท/ปี

ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ หากไทยต้องยอมไปเป็นภาคีคุ้มครองปรับปรุงพันธุ์ (UPOV 1991) จะมีผลให้เกษตรกรต้องจ่ายพันธุ์พืช ในราคาที่แพงขึ้น จากงานวิจัยพบว่า ราคาพันธุ์พืชจะขึ้นอย่างต่ำ 2-3 เท่าจนถึง 6 เท่าตัว ตอนนี้มูลค่า 28,000 ล้านบาทจะเพิ่มเป็นอย่างต่ำ 84,000 ล้านบาท และอาจถึง 143,000 ล้านบาทต่อปี

ดังนั้นการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปที่รวบรัด ไม่รอบคอบ อาจทำให้ไทยเสียประโยชน์อย่างมหาศาล ไม่ต่ำกว่าปีละ 193,239 ล้านบาท เทียบไม่ได้กับการได้ต่อสิทธิ GSP ที่ทางการไทยประเมินว่าจะสูญเสียแค่ 34,560 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น

3.การแก้ปัญหาการเมือง และการได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการถูกฉุดรั้งทางการเมือง ดังที่ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวไว้จริง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นพึงตระหนักว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ต้องประกอบด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างมีความหมาย และคำนึงประโยชน์ของทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม มิใช่เมินเฉยต่อข้อเท็จจริงและความห่วงใยของภาคส่วนต่าง ๆ และมุ่งดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ประโยชน์ โดยที่คนจำนวนมากต้องแบกรับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ

ดังนั้นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย จึงต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ดำเนินการเจรจาอย่างอย่างรอบคอบ เฉพาะอย่างยิ่งให้ความสำคัญกับผลกระทบทางลบ ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย เจรจาด้วยข้อมูลความรู้ มิใช่อาศัยเพียงการวิ่งเต้นของกลุ่มทุน และที่สำคัญต้องยืนหยัดเจรจา ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศ ที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: