กระบี่เป็นเมืองการท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก สามารถทำรายได้นับแสนล้านในแต่ละปี กิจกรรมการท่องเที่ยวก่อเกิดการจ้างงานนับร้อยอาชีพ เป็นแหล่งงานของคนนับแสนคน ...ภาคการเกษตรของจังหวัดกระบี่เป็นจุดแข็งที่สำคัญ ทั้งปาล์มและสวนยางล้วนเป็นพื้นเศรษฐกิจหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณคนกระบี่...การเข้ามาของโรงไฟฟ้าถ่านหินคือการทำลายคนกระบี่อย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
กฟผ.ผลักดันให้เกิดการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะพ่อค้าถ่านหินใกล้ชิดกับนักการเมือง ที่มีอิทธิพลต่อการเขียนแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้า รัฐมนตรีพลังงานในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เพิ่มการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ทั้งนี้เพราะบริษัทถ่านหินใกล้ชิดกับนักการเมืองพรรครัฐบาล ส่งผลให้รัฐมนตรีพลังงาน ต้องหาทางระบายถ่านหิน โดยมีคนกระบี่และคนภาคใต้ เป็นเหยื่อของพ่อค้าที่เห็นแก่กำไร แต่เมินเฉยต่อชีวิตคนและสิ่งแวดล้อม
โลกใบนี้ได้ประจักษ์ชัดแล้วว่าถ่านหินคือหายนะของสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุด สมาคมนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อว่า Union of Concerned Scientists ได้ออกมาบอกต่อชาวโลกว่า ‘ในบรรดาแหล่งมลพิษทั้งหมดในภาคอุตสาหกรรม ไม่มีอะไรที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้มากกว่า โรงไฟฟ้าถ่านหิน’ นักการเมืองผู้กุมอำนาจรัฐและนักเทคนิคทั้งหลายได้ดื้อแพ่งตลอดมา ด้วยความอหังกาว่า จะคิดค้นเทคโนโลยีมาควบคุมโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ปลอดภัย คำสัญญาดังกล่าวได้เอาชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเป็นเดิมพัน บัดนี้ผลที่เกิดขึ้นทั่วโลกประจักษ์ชัดว่า คำของนักการเมืองและนักเทคนิคทั้งหลายล้วนเป็นคำโกหก
ข้อมูลเชิงประจักษ์จากการวิจัยของวิทยาลัยสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ระบุว่า เด็กปีละ 300,000 คน ต้องพิการทางสมองตั้งแต่กำเนิด รัฐบาลประกาศเตือนห้ามกินสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ 39 รัฐ มลพิษได้ก่อตัวทั่วท้องฟ้าและผืนน้ำสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งรัฐบาลได้ออกมาประการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 150 โรง ภายใน 4 ปี และประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ออกมาประกาศไม่สนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกทำเช่นเดียวกับเขา
การศึกษาของมหาวิทยาลัย Stuttgart ประเทศเยอรมนี พบว่า อายุขัยของคนยุโรปสั้นลง 11 ปีจากมลพิษของโรงไฟฟ้าถ่านหิน 300 โรง ชาวยุโรปตายจากโรคที่มาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินปีละ 20,000 ราย ด้วยเหตุนี้นานาประเทศ จึงมีนโยบายของรัฐอย่างชัดเจน ที่จะลดและเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งยุโรป อเมริกาและประเทศจีน แม้กระทั่งประเทศพม่าที่เข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้ไม่นาน เมื่อได้อ่านรายงานหายนะจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน รัฐมนตรีกิจการไฟฟ้าออกมาประกาศว่า ‘รัฐบาลรับฟังจากสื่อและศึกษาผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหิน หลังจากได้อ่านรายงานแล้วเราสรุปว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรที่จะมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน เราจึงตัดสินใจยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกกะวัตต์’ คำประกาศเช่นนี้ไม่มีทางออกมาจากปากของนักการเมืองในระบอบทักษิณ ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
‘พวกสูอย่ามาทำเหลียม’ เราไม่ได้คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า แต่เราคัดค้านการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ทางออกเรื่องพลังงานมีได้หลายสิบทางออกแต่ กฟผ.มีความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทำให้การสร้างโรงไฟฟ้าเหลือเพียงถ่านหินเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเยอรมนีประกาศว่าจะเป็นประเทศที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้ครอบคลุมการใช้พลังงานของประเทศโดยส่วนใหญ่ ประเทศเกาหลีใต้ประกาศออกมาย้ำเตือนต่อชาวโลกว่าเขาจะเป็น 1 ใน 5 ของโลกในด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนในอีก 3 ปีข้างหน้า...ยังคงเหลือเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ประกาศเดินหน้าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ภายใต้การผลักดันของพ่อค้าพลังงานผู้ทรงอำนาจ
อำนาจในการกำหนดอนาคตการพัฒนาพื้นที่อยู่ที่ชุมชนภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา 66 หน่วยงาน กฟผ.จะใช้อำนาจใดมาลบล้างอำนาจรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิประชาชนในการกำหนดอนาคตของตัวเองไม่ได้ ลำพังแค่การทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2 535และประกาศการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทที่ปรึกษาบิดเบือนตลอดมา หลีกเลี่ยงกฎหมายในทางตรงกันข้ามได้ทุ่มเทกับการจัดมวลชน เพื่อให้หนุนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน การประกาศเป็นบริษัทธรรมมาภิบาล ยังจะมีความหมายอันใดอีกและนี่เป็นการผลิตซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าของ กฟผ. การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่กระบี่ยังคงยืนยันว่า กฟผ.จะดำเนินตามแนวทางที่ผิดพลาดนี้ต่อไป
บุคคลใดก็ตามที่มีส่วนร่วมสนับสนุน ในกระบวนการก่อเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เท่ากับกำลังร่วมเดินเส้นทางเดียวกับฆาตกรที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ในการทำลายชีวิตคนและสิ่งแวดล้อม และไม่ว่าทางอ้อมหรือทางตรง พวกคุณได้กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมือง และพ่อค้าถ่านหินไปแล้ว และประชาชนจะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ขอกำหนดอนาคตตนเอง เป็นเมืองท่องเที่ยวเกษตรและประมง หากรัฐบาลมีงบประมาณเหลือเฟือจงมาสนับสนุนแนวทางดังกล่าว และจัดทำพลังงานหมุนเวียนซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพไม่แพ้ประเทศใดในโลก
การปฏิรูปพลังงานจะกลายเป็นวาระสำคัญ ที่จะปลดล็อกการผูกขาดการสร้างโรงไฟฟ้าด้วย กฟผ. ประชาชนทั่วไปจะมีสิทธิในการขายไฟฟ้าให้กับรัฐได้และเมื่อนั้นวิธีการได้มาของไฟฟ้า จะมาจาก สายลม แสงแดดและพืชพันธุ์ พวกเขาจะกลายเป็นพระเอกโดยที่ธรรมชาติเหล่านี้ไม่เคยเรียกร้องเงินใต้โต๊ะจากใคร ปัญหาความเลื่อมล้ำจะลดลงตามไปด้วย นี่คือวาระของสำคัญของมวลมหาประชาชนที่ กฟผ.ฟังแต่ไม่ได้ยินและยังคงผลิตซ้ำความผิดพลาดต่อไป
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ