เผยถูกจับขณะนั่งรับประทานอาหาร
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 10 กุมภาพันธ์ คมชัดลึกออนไลน์รายงานว่า นายสนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวทีนิวส์และแนวร่วม กปปส. ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวที่ห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ตามหมายจับฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถูกควบคุมตัวไปสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในทันที
นายสนธิญาณกล่าวขณะถูกควบคุมตัวว่า ถูกจับกุมขณะเดินอยู่ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว และปกติชอบเดินคนเดียวอยู่แล้ว โดยการถูกจับครั้งนี้ไม่รู้สึกว่ามีปัญหา เพราะเป็นการต่อสู้ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ส่วนจะประกันตัวหรือไม่ต้องพบกับพนักงานสอบสวนก่อน
พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าชุดจับกุม เปิดเผยว่า จับกุมนายสนธิญาณ ขณะรับประทานอาหาร อยู่ตามลำพัง โดยตำรวจได้เข้าแสดงหมายจับ ซึ่งนายสนธิญาณ ก็ยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับจริง โดยไม่ได้มีการขัดขืนแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า กรณีนี้ไม่ใช่การควบคุมตัวเช่นเดียวกับคนร้ายในคดีอาญา แต่เป็นการจับกุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเห็นว่า ทนายความก็มีสิทธิยื่นประกันตัว แต่จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน
ระบุคุมตัวไว้ได้แค่ 7 วัน
ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรรมการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนกฎหมายจะควบคุมตัวนายสนธิญาณได้ไม่เกิน 7 วัน จากนั้นพนักงานสอบสวนจะขออำนาจศาลควบคุมตัวต่อตามกฎหมาย ไม่เกิน 30 วัน ก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป
ทั้งนี้ นายสนธิญาณ เป็น 1 ใน 19 แกนนำ ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. ออกมาเปิดเผยเมื่อช่วงเช้าว่า ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่การชุมนุมแต่พักที่คอนโดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
ศรส.ออกหมายจับเพิ่มอีก 13 แกนนำ
วันเดียวกัน เวลา 13.00 น.นายธาริต แถลงผลการประชุมศรส.ประจำวัน ว่า ศรส.มีผลการประชุม ดังนี้ 1.การที่แกนนำกปปส.นำเอาประเด็นความเดือดร้อนของกลุ่มชาวนาและเกษตรกรมากล่าวอ้างและจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือชาวนานั้น กปปส.กำลังบิดเบือนนำความทุกข์ของชาวนาใช้เป็นประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ศรส.ได้ติดตามจนได้ความจริงว่า รัฐบาลกำลังเร่งรีบที่จะแก้ไขปัญหาของชาวนาอย่างเต็มที่คาดว่า จะแล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การจัดหาเงินไปจ่ายชาวนาล่าช้ามาจากการชุมนุมของ กปปส.จนทำให้มีการยุบสภา ทำให้ขั้นตอนที่รัฐบาลจะหาเงินจากธนาคาร หรือแหล่งเงินทุนต้องขอความเห็นจากกกต.จนเกิดความล่าช้า ประการสำคัญต้องไม่ลืมว่า กปปส.ได้พยายามทุกรูปแบบไม่ให้รัฐบาลกู้เงินจากสถาบันการเงินและยังเคยดูถูกชาวนา เกษตรกร และคนในชนบท ตลอดว่าเสียงของของคนชนบทเป็นแสนไม่มีคุณภาพ เท่าเสียงของพวกเขาเพียงเสียงเดียว
2.ศรส.ได้เร่งรัดให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกรมสอบสวนคดีพิเศษรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขอศาลออกหมายจับประเภท ฉ.ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพิ่มเติม 13 คน ได้แก่ 1.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 2.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 3.น.ส.จิตภัสร์ กฤษดากร 4.นายสกลธี ภัททิยกุล 5.นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ 6.นายเสรี วงษ์มณฑา 7.นายถนอม อ่อนเกตุพล 8.พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ 9.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 10.นายคมสันต์ ทองศิริ 11.นายสุชาติ ศรีสังข์ 12.น.พ.ระวี มาศฉมาดล 13.นายนพพร เมืองแทน ซึ่งการขอศาลออกหมายจับครั้งนี้ เป็นการขอตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แบบเดียวกับที่ได้รับอนุญาตไว้ก่อน 19 คน หากศาลอนุญาตอีกจะเป็น 32 คน
3.การที่กปปส.นำมวลชนไปบุกล้อม ปิดล้อม สถานที่ราชการ ศรส.จะดำเนินการกับการกระทำผิดนี้อย่างจริงจังตามหลักสากล แต่ก็จะระวังไม่ให้เกิดการสูญเสียกับประชาชน
คดีขัดขวางเลือกตั้ง 119 คดี จนท.ทิ้งการเลือกตั้ง 80 คดี
4.ศรส.ได้รับทราบรายงานผลการสืบสวนสอบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีการกระทำผิดของแกนนำกปปส.ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัดภาคใต้ ขณะนี้ได้รับคดีขัดขวางการเลือกตั้งไว้ 119 คดี และคดีเจ้าหน้าที่จงใจละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้ง 80 คดี รวมหมายจับที่ศาลออกให้แล้ว 37 คน
นายธาริตกล่าวว่า ขณะนี้ รวบรวมรายชื่อนายทุนท่อน้ำเลี้ยงกปปส.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการทำคำสั่ง เพื่อให้เกิดความครบถ้วนสมบูรณ์ลักษณะเดียวกับศอฉ.ในปี 2553 และวันที่ 11 ก.พ ในช่วงแถลงข่าวหลังการประชุมประจำวันจะมีการเผยแพร่เอกสารรายชื่อกับสื่อมวลชน
นายธาริตกล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อทั้งหมดจะแบ่งเป็น 3 ส่วน 1.ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีพิเศษของดีเอสไอ 58 ราย 2.รายชื่อจากการสืบสวนของดีเอสไอ 31 ราย และรายชื่อที่เหลือจากตำรวจสันติบาล ทั้งนี้ 58 รายชื่อนั้น ตกเป็นผู้ต้องหาชัดเจน ส่วนนอกเหนือจากนั้นเป็นผู้ต้องสงสัยเข้าข่ายในการสนับสนุนในลักษณะท่อน้ำเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน อุปกรณ์อุปโภค บริโภค ซึ่งยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา เพียงแต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินกฎหมายได้ให้อำนาจฝ่ายบริหารสามารถที่จะสั่งให้ระงับการทำธุรกรรมชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเท่านั้น โดยไม่ได้มีการเข้าไปยึดทรัพย์ ซึ่งจะมีการเชิญมาให้ชี้แจงที่มาที่ไปของเงิน ถ้าชี้แจงได้ก็จบไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้แล้วมีพยานแวดล้อมประกอบว่าเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิด ก็จะถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดี ในฐานะเป็นผู้สนับสนุน หรือตัวการร่วมกับแกนนำกปปส. ทั้งนี้ ศรส.จะปฏิบัติภายใต้กฎหมายและวิธีการรูปแบเดียวกับศอฉ.ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ