ข่าวสดรายงานว่า เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 12 กันยายน ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า เวลานี้มีสมาชิกสนช.ลงชื่อที่จะขออภิปรายจำนวน 20 คน ซึ่งเชื่อว่ากว่าจะถึงเวลาอภิปรายจะมีสมาชิกจำนวนมากกว่านี้ โดยจะเปิดอภิปรายอย่างเต็มที่ไม่มีการตัดสิทธิ โดยสมาชิกจะต้องบริหารเวลาในการอภิปรายเอง แต่โดยปกติที่ผ่านมาจะให้อภิปรายกันคนละ 10 นาที และหลังจากที่นายกฯ แถลงนโยบายแล้ว หากสมาชิกมีข้อซักถามก็สามารถซักถามเพิ่มเติมได้ และหากนายกฯหรือรัฐมนตรีต้องการชี้แจงตนก็อนุญาตให้ชี้แจงได้ทันที แต่ถ้าไม่ชี้แจงก็จะให้สมาชิกอภิปรายต่อเรื่อยๆ และรัฐบาลชี้แจงตอนท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า บรรยากาศการดูแลบริเวณรอบอาคารรัฐสภา เพื่อรักษาความปลอดภัยการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วาระพิจารณาเรื่องคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตั้งเต็นท์กองอำนวยการอยู่หน้าประตูทางเข้าสวนสัตว์ดุสิต(เขาดิน) ถนนอู่ทองใน ตรงข้ามอาคารรัฐสภา พร้อมกระจายกำลังอยู่โดยรอบร่วมกับทหารจำนวนหนึ่ง ขณะที่ภายในอาคารรัฐสภาเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภารักษาความปลอดภัย โดยให้ผู้สื่อข่าวอยู่ภายในห้องโถง อาคารรัฐสภา 1 เท่านั้น รวมทั้งบริเวณชั้นลอยก็ให้ผู้สื่อข่าวขึ้นไปรอสัมภาษณ์ได้แค่ฟุตบาธ ไม่สามารถเข้าไปภายในระเบียงชั้นลอยได้
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศก่อนการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ในส่วนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เดินทางมายังอาคารรัฐสภาเมื่อเวลา 09.45 น. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในชุดสูทสีเทา เนคไทสีชมพูอ่อน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดสุโขทัยแล้ว จะลงพื้นที่ดูแลปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดภาคใต้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เดี๋ยวไปๆ”
ขณะที่บรรยากาศที่รัฐสภาเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดารัฐมนตรีทยอยเดินทางเย้ามาอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่าหลังแถลงนโยบายต่อ สนช. เสร็จก็จะเดินทางเข้าไปปฏิบัติงานที่กระทรวงทันที อาทิ พล.อ.อ.ประจิณ จั่นตอง รมว.คมนาคม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ขณะที่การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำรัฐสภา จะตรวจดูรถยนต์ทุกคันที่ผ่านเข้า-ออก เจ้าหน้าที่ บุคลากรทุกคนต้องติดบัตรแสดงตนอย่างชัดเจน หรือต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อแลกบัตรชั่วคราว ในส่วนของบรรดารัฐมนตรี สมาชิก สนช. ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตัวดูแลอย่างใกล้ชิด โดยการรักษาความปลอดภัยในภาพรวม มีพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร. และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รักษาราชการรอง ผบช.น. มาควบคุมดูแลด้วยตนเอง
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระเรื่องด่วนคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยก่อนเข้าสู่วาระ นายพรเพชร แจ้งให้สมาชิกสนช. ทราบว่า การอภิปรายใด ๆ อย่าพาดพิงบุคคลภายนอก เพราะอาจจะถูกฟ้องทางแพ่งและทางอาญาได้
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี เข้าเสนอนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุม สนช. โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตามที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ตนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ส.ค. และแต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 ส.ค. บัดนี้คณะรัฐมนตรีพร้อมแถลงนโยบายก่อนเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 รัฐบาลชุดนี้แม้ใช้อำนาจทำหน้าที่ตามกฎหมายเช่นรัฐบาลก่อนๆ แต่แตกต่างด้านเงื่อนไขและเวลา เพราะต้องสืบทอดสานต่อภารกิจจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาประเทศไว้ก่อนแล้ว 3 ระยะ ตั้งแต่เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลตระหนักว่าแม้ความเร่งด่วนและรุนแรงของปัญหาที่รอแก้ไขเยียวยามีมาก เมื่อเทียบกับกรอบเวลาทำงานอันสั้น ประชาคมโลกกำลังเฝ้าการเปลี่ยนแปลงของไทยด้วยความห่วงใย รัฐบาลจะไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อนหรือข้อจำกัด แต่เป็นความท้าทายให้ต้องเร่งคิดเร่งทำ จนเกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้รัฐบาลไม่ได้จัดตั้งขึ้นจากพรรคการเมือง จึงไม่มีนโยบายที่ใช้หาเสียง หวังคะแนนประชานิยม เป็นฐานทางการเมือง และไม่ต้องวิตกว่าจะมีการนำพาประเทศเข้าไปผูกพันจนเสียวินัยการคลัง หรือเกิดภาระในอนาคต และการที่นโยบายเป็นเอกภาพ จึงไม่ต้องวิตกว่าการทำงานแต่ละกระทรวงจะไม่บูรณาการสอดคล้องหรือพายเรือคนละที สำหรับการแก้ไขปัญหาประเทศ ต้องวางรากฐานให้รัฐบาลข้างหน้าเข้ารับช่วงได้ยั่งยืน โดยจะวางยุทธศาสตร์พัฒนาที่ยั่งยืนต้องการให้ประชาชนเห็นภาพประเทศจะก้าวไปทางไหน เช่น ควรทราบว่าถ้าจัดทำผังเมืองใหม่ จะมีผังเมืองลักษณะอย่างไร ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบาย จำแนกเป็น 11 ด้าน ดังนี้ 1.การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะเชิดชูสถาบันด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยใช้มาตรการทางกฎหมาย มาตรการสังคมจิตวิทยา และมาตรการทางระบบสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินกับผู้คะนองปาก ย่ามใจหรือประสงค์ร้าย มุ่งสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและความผูกพันภักดีของคนจำนวนมาก
2.การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ แบ่งเป็น 1.ระยะเร่งด่วน รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน 2.เร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ 3.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ และระบบป้องกันประเทศให้ทันสมัย รักษาอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ ปลอดพ้นการคุมคามทุกรูปแบบ และ4.เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศบนหลักการนโยบายการต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญของนโยบายองค์รวมทั้งหมดในการบริหารราชการแผ่นดิน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า 3.การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ มีนโยบาย ระยะเฉพาะหน้าเร่งสร้างโอกาส อาชีพและการมีรายได้ที่มั่นคงต่อผู้ที่เข้าสู่ตลอดแรงงาน ขณะที่การป้องกันและแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ ผู้หลบหนีเข้าเมือง การทารุณกรรมต่อแรงงานข้ามชาติ และปัญหาคนขอทาน โดยปรับปรุงกฎหมาย เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ นอกจากนี้ระยะต่อไปจะพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ สังคมที่หลากหลายจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้ง การจัดระเบียบสังคม และการแก้ปัญหาไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกร
4.การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา และศิลปวัฒนธรรม โดยจะนำการศึกษาศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ และความเป็นไทยมาใช้สร้างสังคมให้เข้มแข็งมีคุณภาพและคุณธรรม ทั้งนี้พลทหารที่เข้ามากองทัพสนับสนุนให้มีการเรียน กศน. เพราะบางคนเข้ามาไม่มีความรู้ เมื่อจบออกไปจะได้ช่วยพ่อแม่ได้ ดังนั้นอยากให้กระทรวงศึกษาไปดูว่าจะทำอย่างไร เพื่อพัฒนาคนทุกช่วงวัย ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“สิ่งสำคัญคือการอ่านหนังสือ เพื่อเป็นการเพิ่มความรู้ เพิ่มวิสัยทัศน์ จัดระเบียบตัวเอง ทีวีก็ไม่ดู ดูแต่ละคร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นมาได้ วันหน้าก็อยากเป็นนางเอก อยากเป็นคุณชาย แล้วก็รักกัน ร่ำรวย ก็ได้แค่นี้ วันนี้เรากำลังจะสร้างหนังอยู่ โดยให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ สร้างหนังแบบ Lost in Bangkok พาคนมาเที่ยวประเทศไทย รักกัน ชอบกัน ในระหว่างการท่องเที่ยว ตอนนี้ได้พระเอก นางเอกแล้ว เหลือพ่อพระเอก ลุง ขอให้ไปสมัครไปกระทรวงการพัฒนาฯ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
5.การยกระดับคุณภาพ และบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน โดยจะวางรากฐาน พัฒนา และเสริมความเข้มแข็งให้แก่การบริการ ด้านสาธารณสุข และสุขภาพประชาชน โดยเน้นความทั่วถึง ความมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า 6.การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ระบบเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีจุดอ่อนต้องแก้ไขปรับปรุงหลายเรื่องนั้น รัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที อาทิ สานต่อนโยบายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนำหลักการสำคัญของการจัดทำงบประมาณรายประจำปีงบประมาณ 2558 ที่ให้บูรณาการงบประมาณ และระยะต่อไป ต้องแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่ โดยประสานนโยบายการเงินและการคลังให้สอดคล้องกัน เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจพร้อมรักษาเสถียรภาพของราคาอย่างเหมาะสม อาทิ การปฏิรูปโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ การปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีให้จัดเก็บได้ครบถ้วน โดยปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้คงอัตราภาษีเงินได้ในระดับปัจจุบัน ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้คงอัตราด้านการค้าและขยายฐานการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ ซึ่งจะเก็บจากทรัพย์สิน เช่น ภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และระยะยาวต้องวางรากฐานเพื่อความเจริญเติบโตต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การบริหารหนี้ภาครัฐที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีจำนวนเงินสูงมากกว่า 7 แสนล้านบาท เป็นภาระงบประมาณใน 5 ปีข้างหน้าจะทำให้เหลืองบประมาณเพื่อการลงทุนพัฒนาประเทศน้อยลง โดยประมวลหนี้เหล่านี้ให้ครบถ้วนหาแหล่งเงินระยะยาวมาสะสางหนี้ทั้งหมด และยืดระยะเวลาชำระคืนให้นานที่สุดเพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต
7.การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน โดยเร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยทุกระดับ พัฒนาแรงงานภาคอุตสาหกรรม และเร่งพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งระบบโลจิสติกส์ต่อเชื่อมเส้นคมนาคมขนส่ง และระบบโลจิสติกส์พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเริ่มจากการพัฒนาด่านการค้าชายแดน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า 8.การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม รัฐบาลให้ความสำคัญการวิจัย พัฒนาต่อยอดและสร้างนวัตกรรม นำไปสู่การผลิตบริการที่ทันสมัย อาทิ สนับสนุนเพิ่มค่าใช้จ่ายการวิจัย เร่งเสริมสร้างสังคมนวัตกรรม ส่งเสริมระบบการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ ส่งเสริมให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ประเทศใช้ประโยชน์ผลการศึกษาวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม
9.การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รัฐบาลมีนโยบายรักษาความมั่นคงฐานทรัพยากรธรรมชาติ โดยสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
10.การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ซึ่งระบบราชการใหญ่โต สามารถให้คุณให้โทษให้ความสะดวกหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินและการดำรงชีวิตได้ ซึ่งกรณีที่ขณะนี้มีปัญหาเรื่องราคาไมค์โครโฟนราคาแพง ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วและให้ไปหามา อะไรที่ไม่ใช่เรื่อง ก็อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ด้าน 11.การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ระยะเฉพาะหน้าเร่งปรับปรุงประมวลกฎหมายหลักและกฎหมายอื่นๆ ที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมายและจัดทำกฎหมายให้ปฏิบัติงานได้รวดเร็ว ระยะต่อไปจะจัดตั้งองค์กรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงของรัฐ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีทุกขั้นตอนให้รวดเร็ว เป็นธรรม และมีระบบฐานข้อมูลเชื่อมโยงกัน รวมทั้งปรับปรุงระบบช่วยเหลือทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้เข้าถึงความเป็นธรรมได้ง่าย ส่งเสริมกองทุนยุติธรรม เพื่อคุ้มครองช่วยเหลือคนจนและผู้ด้อยโอกาส และนำมาตรการทางการเงิน ภาษี การป้องกันการฟอกเงินมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตและประพฤติมิชอบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า นโยบายที่แถลงเป็นกรอบใหญ่หรือแนวทางการทำงานของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายหรือหลักชัยอยู่ที่การสร้างสังคมที่มีการปฏิรูป มีความเป็นธรรม และไม่ทุจริต รัฐบาลตระหนักว่านโยบายจะเป็นผลสัมฤทธิ์ต่อเมื่อมีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการรองรับอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดให้หน่วยงานต้องปฏิบัติ ระยะเวลา วิธีการ และงบประมาณที่ชัดเจน โดยจำหัดกรอบเวลา 1 ปี ตามปีงบประมาณ และระยะเวลาของรัฐบาล
นอกจากรัฐบาลมีภาระหน้าที่บริราชการแผ่นดินแล้ว ยังต้องทำการปฏิรูปด้านต่างๆ ถือเป็นงานในอนาคต ขณะเดียวกันต้องสร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ที่ในอดีตขาดหายไป ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย เพราะยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกมาก การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของคนที่แตกต่างอย่างรุนแรงจนต่อสู้กันให้เข้ามาใกล้เคียงกันเป็นเรื่องใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าปฏิรูป รัฐบาลสัญญาว่าจะใช่ความวิริยะอุตสาหะ ความอดทนอดกลั้นเพื่อฟันฝ่าปัญหาแลอุปสรรคให้ได้
“นโยบายทั้งหมด พูดให้ดี เขียนให้หรู ไม่ได้ทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ แล้วจะเหนื่อยทำไม เพราะฉะนั้นทุกกระทรวงจะต้องยึดถือแล้วนำไปปฏิบัติ และริเริ่มเพิ่มเติมไปด้วย สิ่งไหนทำได้ ก็ทำทันที แล้วให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปี อันไหนที่ยั่งยืนก็ทำต่อเพื่อรัฐบาลหน้า เพราะบางอย่างใช้เวลาเป็นชาติ ดังนั้นรัฐบาล เอกชน ประชาชนต้องร่วมกันขับเคลื่อน รวมทั้ง คสช.และทหารจะร่วมผลักดันด้วยเพื่อให้เกิดความยั่งยืน และการใช้จ่ายงบประมาณสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณต้องตรงกับสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อน อันไหนที่เร่งด่วนก็ให้เบิกงบมาก่อน ซึ่งทุกกระทรวงทราบแล้วคงไม่ไปทำอะไรให้เกิดความเสียหาย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ส่วนแผนการปฏิบัติงานได้เตรียมไว้หมดแล้ว เพียงแต่ให้รัฐมนตรีเข้าไปร่วมตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งจะต้องนำเข้าครม. ให้เรียบร้อยโดยเร็ว ทั้งนี้ความต้องการของประชาชนถือเป็นสิ่งสำคัญ อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่ใช่ประชานิยม ที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย และเวลาตามโรงเรียนและสถานที่ราชการ ให้ติดบัญญัติ 12 ประการ โดยไม่ต้องมีรูปตน และห้ามติดรูปตนตามถนน รัฐบาลนี้ตั้งเป้าหมายไว้สูง เพราะประชาชนคาดหวัง ต่างชาติเฝ้าดู ซึ่งเป็นงานที่ยากและท้าทาย แต่ก็เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ก็ขอให้ประชาชนติดตามต่อไปอย่างมีเหตุผล โดยในสัปดาห์หน้าประมาณวันที่ 17 ก.ย.จะมีการซักซ้อมทำความเข้าใจกับส่วนราชการอีกครั้ง ดังนั้น ทั้งสปช.และสนช. เข้ามาควบคุมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ปิดบัง ปิดกั้นให้ความเป็นธรรม ขอให้คุยกันดี ๆ ไม่ใช่ไปตีกันตามสื่อ
“มีอย่างที่ไหนว่าผมไปสั่งธนาคาร ไม่ให้เปิดเผยเงินฝากจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินผมกับน้อง ถ้าผมมีถึงขนาดนั้น ผมคงไม่มายืนอยู่อย่างนี้ คงเอาให้ชาวนาไปแล้ว หรือเอาไปสร้างสิ่งที่เกิดประโยชน์ แต่ผมไม่รวยขนาดนั้น และวันนี้ขอให้ลดปัญหาความขัดแย้งให้เร็วที่สุด ต้องแก้ไขให้ได้ ประเทศชาติจะต้องเดินหน้าไปโดยไม่มีความขัดแย้ง กฎหมายต้องให้ความเป็นธรรมมีความเชื่อมั่น ผมไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประเทศ นโยบายของรัฐบาลคือ ทำก่อน ทำจริง ทำทันที เกิดผลสัมฤทธิ์ และยั่งยืน ส่วนหลักการของรัฐบาลคือ “จริงใจ จริงจัง และยั่งยืน”
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณ พร้อมยกมือไหว้สมาชิก สนช.ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมทุกด้าน และกล่าวว่าพร้อมตอบคำถาม แต่คงไม่ได้อยู่ต่อ เพราะต้องเดินทางลงพื้นที่ จ.สุโขทัย แต่จะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องคอยชี้แจงอยู่ โดยใช้เวลาเสนอนโยบายประมาณ 2 ชั่วโมง
ขอบคุณข่าวจากข่าวสด
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ