ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหากับ ‘บุญทรง-ภูมิ’ มติไต่สวน‘ยิ่งลักษณ์’ปล่อยโกงจำนำข้าว

ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ 17 ม.ค. 2557 | อ่านแล้ว 1338 ครั้ง

เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี นายวิชา มหาคุณ ในฐานะประธานคณะกรรมการไต่สวนการทุจริตโครงการจำนำข้าว แถลงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับพวก เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตโครงการจำนำข้าว และการระบายข้าว โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนพิจารณาจากพยานหลักฐาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นแผ่น ไต่สวนพยานเป็นจำนวนมากกว่า 100 ปาก ซึ่งนับว่าประเด็นนี้ถือว่า ป.ป.ช.ได้รับร้องเรียนมากที่สุด โดยเฉพาะชาวนาที่นำข้าวไปจำนำ และกำลังรอรับเงินจากรัฐบาล มีผู้เกี่ยวข้องทั้งโรงสีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีจำนวนมหาศาล ทำให้ต้องใช้เวลาพิจารณาจำนวนมาก ทั้งนี้จากการไต่สวน รับฟังได้ว่า การเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ข้อเท็จจริงพบว่า จากพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าการเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ไม่มีการส่งข้าวออกไปจีนตามที่กล่าวอ้าง ทั้งนี้ปกติการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐต้องผ่านองค์กรสำคัญ องค์กรหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติ แต่ในการดำเนินการครั้งนี้ กลับไม่มีการดำเนินการในระบบนี้แต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ยังไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆ สนับสนุนว่า บริษัทของจีนทั้งสองแห่ง ที่อ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ไม่ได้มีหลักฐานยืนยันว่าได้รับมอบหมายจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และไม่มีการส่งข้าวออกนอกราชอาณาจักรจริง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์แจ้งข้อกล่าวหากับนายบุญทรง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ และผู้ดำเนินการเจรจาทั้งสองฝ่าย รวมถึงผู้รับมอบอำนาจของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เข้ามาเจรจาด้วยรวมจำนวน 15 ราย ประกอบด้วย นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายฑิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ บริษัท จีเอสเอสจี บริษัท ไห่หนาน และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสองทั้งชาวจีนและชาวไทย คือ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา นายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด

นายวิชากล่าวว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของการไต่สวนเพิ่มเติมใน ความเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้าฯ พบพยานหลักฐานว่า มีการนำข้าวขายให้กับบริษัทผู้ซื้อรายย่อย อีกจำนวน 17 ราย ที่อ้างว่าเป็นการค้าแบบรัฐต่อรัฐ แต่แท้จริงแล้วเป็นการค้าในประเทศ มีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ ไม่ได้มีการจ่ายเงินแบบรัฐต่อรัฐ ดังนั้นจึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถอ้างอิงเพื่อยกเว้นภาษี และเอกสารเหล่านี้ไม่สามารถจำไปบันทึกบัญชี และนำไปคำนวณภาษีได้ เพราะเป็นเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และได้รับการยืนยันตามนี้ จากสภาวิชาชีพการบัญชีและกรมสรรพากรแล้ว ซึ่งคณะอนุกรมการไต่สวนจะได้ส่งเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมสรรพากร เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี และ กรมการค้าต่างประเทศ เพื่อให้ยุติการดำเนินการดังกล่าว และหากไม่ดำเนินการก็จะมีการดำเนินการตามมาตรการต่อไป

นายวิชากล่าวต่ออีกว่า คณะอนุกรรมการไต่สวน พิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงมีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมว่าการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ทราบถึงการท้วงติงและความเสียหายจากการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว แต่กลับละเลยไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง อันอาจเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เห็นสมควรนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการไต่สวนเสนอ โดยให้คณะอนุกรรมการไต่สวนชุดเดิม ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

นายวิชายังกล่าวปฏิเสธ กรณีถูกตั้งคำถามว่า ป.ป.ช.เร่งดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะต้องปลดล็อกการเมืองโดยระบุว่า การดำเนินการทุกอย่างของ ป.ป.ช. เป็นไปตามกฎหมาย หลักฐาน โดยใช้เวลายาวนานถึง 1 ปีกว่า ส่วนข้อกล่าวหาที่น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า มีความพยายามในการล็อบบี้ไม่ให้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เชื่อว่าไม่มี เพราะป.ป.ช.ดำเนินการแบบตรงไปตรงมา มีการลงมติ และตนไม่มีสิทธิที่จะไปชักจูงใคร ที่สำคัญมีการอ้างอิงหลักฐานชนิดที่ว่าครอบคลุมทุกด้าน

ทั้งนี้นายวิชากล่าวว่า ในการประชุม ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ทุกประเด็น เว้นแต่เพียงมติที่ว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพร้อมกันเลยหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ควรแจ้งพร้อม เรื่องนี้จึงถือว่าป.ป.ช.ให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ สำหรับการไต่สวนนั้น หากพบว่ามีความผิดฐานทุจริต ป.ป.ช.จะสามารถสั่งยึดอายัดทรัพย์สินชั่วคราวได้ หากพบว่าได้มาโดยมิชอบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปถึงขั้นตอนดังกล่าว แต่จะดูเฉพาะเรื่องกระบวนการการค้าเท่านั้น ส่วนต่อไปจะไปเชื่อมโยงขยายผลไปถึงกรณียักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือไม่ ป.ป.ช.จะพิจาณาอีกครั้งหนึ่ง

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: