อุบาทว์จัด นี่คือประกาศ “รัฐประหารโดยวุฒิสภา” ยึดอำนาจรัฐสภา สถาปนาตนเป็นรัฐสภา แบะท่าว่าจะไล่รัฐบาลออก เพียงยังไม่กล้าพูดเต็มปาก ยังใช้วิธีกดดันให้รัฐบาลลาออก โดยโทษว่าถ้าไม่ลาออกสังคมจะไม่สงบ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่พอใจ จะให้วุฒิสภาตั้งนายกฯ คนกลางทันทีหรือ เอ๊ะ หรือว่าแกล้งทำ เล่นเกม 2 หน้า สอดประสานว่าเห็นไหม ถ้ารัฐบาลไม่ออก กปปส.ก็จะก่อความวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก
ถามว่าจะเอากันด้าน ๆ ดันทุรัง อย่างนี้หรือครับ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ยังเป็น “ประธานเถื่อน” อยู่เลย ทุกฝ่ายก็ทักท้วงว่าวุฒิสภาไม่สามารถตั้งนายกฯ คนกลางได้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแม้ให้นายกฯ พ้นตำแหน่งรักษาการ แต่ก็ยังคุ้มครองคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ มีชัย ฤชุพันธ์ ยังบอกว่าต้องลอบสังหาร 25 รัฐมนตรีให้ตายหมดก่อน
ถ้าคณะรัฐมนตรียังอยู่ วุฒิสภาเลือกนายกฯ คนกลางทูลเกล้าฯ ก็เท่ากับผลักภาระให้พระมหากษัตริย์ ถือเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท อย่างไม่เคยมีมาก่อน
แน่จริงลองให้เลขาธิการวุฒิสภานำชื่อสุรชัยทูลเกล้าฯ ตามแผนบันได 8 ขั้นที่ใครคิดมาก่อนหน้านี้ดูไหมละ
นี่เป็นการกระทำที่ต้องตอบโต้และประณามในทันทีว่าเป็นการประกาศรัฐประหารโดยวุฒิสภา ซึ่งเป็นการประชุมเถื่อน นอกรอบ และ สว.เลือกตั้งร่วม 50 คนไม่ยอมเข้าร่วมด้วยซ้ำ
สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย (ขอบคุณภาพจากโพสต์ทูเดยฺ)
วุฒิสภาที่มาจากลากตั้งกำลังจะยึดอำนาจ ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เพราะคำประกาศชัดเจนในตัวว่า จะตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ทำการปฏิรูป ปฏิรูปอะไรครับ ปฏิรูปต้องแก้กฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ แปลว่าวุฒิสภาที่ส่วนใหญ่มาจากลากตั้งจะยึดอำนาจตั้งตนเป็นรัฐสภา
รัฐบาลรักษาการมีฐานความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย ที่จะประกาศต่อต้านความพยายามรัฐประหารครั้งนี้เต็มที่ และถ้ามีการประชุมเพื่อไล่รัฐบาล ตั้งนายกฯ คนกลาง สมาชิกวุฒิสภาคนใดเข้าร่วมประชุมก็จะมีสถานะเป็น “คณะรัฐประหาร” ในทันที
จตุพร พรหมพันธุ์ พูดไม่ผิดเลยครับ นี่มาถึงจุดที่จะต้องระดมมวลชนแสดงพลังสู้กัน เพื่อปกป้องประชาธิปไตย
สงครามชิงกระแส
ทฤษฎีสมคบคิดพลาดไปนิดหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้าสุดซอย ไม่สั่งให้ ครม.พ้นไปทั้งคณะ
แต่ก็ยังมี กกต.ไส้เลื่อนเป็นที่พึ่ง เดี๋ยวเลื่อนส่งพระราชกฤษฎีกา เดี๋ยวเลื่อนประชุม จน กปปส.ยกพลไปบุกถล่ม (โดยมิได้นัดหมาย ราวกับพระอรหันต์ 1,250 รูป) ทำให้การประชุมล่ม แล้วสมชัย ศรีสุทธิยากร ก็ออกมาบอกว่าเลือกตั้งวันที่ 20 กรกฎาคมไม่ทันอีกแล้ว
นี่ทำให้สังคมอ่อนใจว่าตราบใด กกต.ชุดนี้ยังมีอำนาจ ก็ไม่มีความหวังได้เลือกตั้งกระทั่งชาติหน้าตอนบ่ายๆ
เมื่อปิดกั้นหนทางเลือกตั้ง เครือข่ายล้มประชาธิปไตยก็ปฏิบัติการจิตวิทยา คุกคามสังคมให้กลัวว่าจะรุนแรง จะนองเลือด ม็อบชนม็อบ หรือเกิดรัฐประหารรถถัง เพื่อสร้างกระแสโอบล้อม ให้สังคมยอมจำนนวิถีโกงๆ แถๆ ประสานกับองค์กรในเครือข่าย ส่งเสียงเซ็งแซ่ นายกฯ คนกลางเถอะ สังคมจะได้กลับสู่ความสงบ ได้ทำมาหากิน ตอนนี้เศรษฐกิจย่ำแย่ไปหมดแล้ว
วุฒิลากตั้งจึงไปลาก 12 องค์กรมาเป็นเบี้ยให้เดิน ซึ่งน่าเศร้าว่า ศาลฎีกา ศาลปกครอง ยอมส่งเลขาธิการไปร่วม แม้บอกว่ามารับฟังเฉยๆ แต่ก็ช่วยสร้างกระแสไปแล้ว เช่นเดียวกับองค์กรภาคธุรกิจ ที่ไม่แน่ใจว่าถูกกวาดต้อนมาหรือหลวมตัวแล้วไม่กล้าโต้แย้ง
วุฒิลากตั้งยังไปขอความเห็น ทปอ.ซึ่งก็เรียกร้องนายกฯ คนกลางมาตั้งแต่ไก่โห่ ทปอ.ก็อ้างว่าอย่ายึดติดตัวบทกฎหมาย นี่ไม่ใช่กฎหมายครับ (โว้ย) นี่กติกาประชาธิปไตยที่ใครละเมิดก็เท่ากับยึดอำนาจจากประชาชน
แล้วก็อ้างเสียงสนับสนุนพอเป็นพิธีนี่แหละ ประกาศรัฐประหารอย่างลนๆ ด้านๆ
นับแต่นี้จะเกิดอะไร ก็จะเป็นไปตามประเพณีไงครับ คือมอบช่อดอกไม้ให้คณะรัฐประหาร จะมีองค์กรวิชาชีพต่างๆ ประชาคมสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล วิศวกร คณาจารย์ ออกมาประกาศสนับสนุนคณะรัฐประหาร แซ่ซ้องว่าวุฒิสภาทำถูกต้องแล้ว เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ แล้วก็กดดันให้รัฐบาลลาออก
เพียงแต่รัฐประหารโดยวุฒิสภา ก็ยังเปิดช่องให้ประชาชนต่อต้าน นปช. สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ภาคีประชาชนคือคนกลาง แสดงตัวคัดค้าน ยืนยันว่ารัฐบาลต้องอยู่ต่อไป วุฒิสภาไม่มีอำนาจไล่
พูดง่าย ๆ ก็คือวัดพลัง วัดกระแสสังคมว่าจะเอียงไปข้างไหน
ประเด็นที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องต่อสู้คือ ข้อแรก กระแสสังคมมักถูกวัดด้วยสื่อ ภายใต้สื่อกระแสหลักที่เอียงข้าง ก็จะกระพือกระแสไปข้างเดียว ทั้งที่สื่อไม่ได้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อีกแล้ว แต่หัวข่าว บทความ ในหนังสือพิมพ์ เมื่อนับทุกฉบับรวมกัน สื่อนกหวีดมีมากกว่า
ภายใต้กระแสสื่อ กระแสสังคมจะ “ไม่ให้ราคา” กับมวลชนเสื้อแดง ทั้งที่มีจำนวนมากกว่า เสื้อแดงจะมาเป็นแสนหรือเป็นล้าน ก็เท่ากัน เป็นพวกเดียวกันหมด นับได้ 1 กลุ่ม ไม่เหมือนพวกนกหวีด ที่อ้างเป็นองค์กรวิชาชีพนั่นนี่ มีแต่หัว ตัวไม่มี แต่เอามานับว่าเป็นเสียงมากกว่า
ฉะนั้นจะต้องพึ่งกระแสที่หลากหลาย ทั้งของคนชั้นกลางในกรุง ขั้วที่สาม สี่ ห้า หรือว่าเปลี่ยนไปต่อสู้ผ่านองค์กรอื่น เช่น สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ข้อสอง พวกเขากำลังจับจุดอ่อนสังคมไทย ที่ขี้กลัว ไม่มีหลัก มักง่าย ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัดสวะให้พ้นไปวันๆ ชักจูงให้คนกลางๆ แบบกลวงๆ อย่างภาคธุรกิจทั้งหลาย ที่คิดสั้นอยากให้จบๆ ไป ยอมให้ลากถูไปด้วย
กปปส.เดินเกมสร้างความตึงเครียดเขย่าขวัญ กดดันสังคมให้ยอมตาม มาแต่ต้นอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้ผล ไม่กี่วันก่อนก็มีนักสันติวิธีขวัญอ่อนหลวมตัวสนับสนุนนายกฯ คนกลาง
ด้วยความเคารพเป็นรายบุคคลนะครับ อ.โคทม อารียา อ.สุริชัย หวันแก้ว ผมเชื่อว่าปรารถนาดี แต่อ่านเกมไม่ขาด กลัว “เห็นคนตาย” จนเสนอ “สันติวิธี” ที่กลายเป็น “อาวุธทางการเมือง” กดดันรัฐบาล แต่ไม่เป็นไร คิดผิดคิดใหม่ได้ ครั้งนี้ลองแถลงใหม่สิ ท่านจะมอบช่อดอกไม้ให้รัฐประหารโดยวุฒิลากตั้งหรือเปล่า
3-4 วันจากนี้ไป จะเป็นช่วงของการช่วงชิงกระแส ต่อสู้กันในหน้าสื่อ ต่อสู้กันผ่านวิวาทะ เหตุผล หลักการ แถลงการณ์ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาจะตะแบงตะแคงข้างเข้าถู อย่างดื้อด้าน เพราะไม่มีวิชาการแม้แต่น้อย
โถ นักวิชาการ กปปส.เหลือกล้าสู้หน้าซักแค่ไหน ขนาดไพบูลย์ นิติตะวัน มาออกรายการกับชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยังกระจุยกระจาย
3-4 วันจากนี้ไป ยังจะเป็นการวัดจุดยืน ความเข้มแข็ง มั่นคง ของทุกคนทุกฝ่าย คนที่เคยหลบเลี่ยง ทำตัวกลางๆ มาถึงตอนนี้หลบไม่ได้แล้วครับ คุณเห็นด้วยกับรัฐประหารโดยวุฒิสภาหรือไม่ ต้องประกาศให้ชัด
นี่ยังห่วงอยู่ว่าจะมีพวกอยากปฏิรูปจนตัวสั่นในภาคประชาสังคมออกมาเสียคน จากที่เสียไปเยอะแล้ว
รัฐประหารไหม
ผบ.ทบ.เพิ่งฮึ่มฮั่ม ออกคำแถลง 7 ข้อ แสดงอารมณ์หงุดหงิด หลัง M79 ลงม็อบราชดำเนิน พร้อมแสดงท่าทีว่าอาจประกาศกฎอัยการศึก
ถาม กปปส.เคลื่อนไหวรุนแรง อาละวาด ถ้า นปช.ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อนวุฒิสภา เคลื่อนมวลชนเข้ามา จะเกิดรัฐประหารไหม
ผมเชื่อว่ายังไง ๆ ก็ไม่เกิดรัฐประหาร ไม่กล้ารัฐประหาร เพราะไม่มีใครกลัว พรรคเพื่อไทย มวลชนเสื้อแดงไม่กลัว ทั้งฮาร์ดคอร์ ซอฟท์คอร์ เตรียมต่อต้านเต็มที่
ประเด็นสำคัญคือรัฐประหารไม่กล้าฉีกรัฐธรรมนูญ ในเมื่อวุฒิลากตั้งจะทำรัฐประหารโดยงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราอยู่แล้ว หน้าที่ของกองทัพ คือสนับสนุนคณะรัฐประหาร เป็นกลไกหนึ่งของรัฐประหารเท่านั้น
ฉะนั้น สิ่งที่กองทัพอาจทำ คือประกาศกฎอัยการศึก สั่งทั้งสองม็อบสลายตัว แต่ถามว่าถ้าประชาชนไม่เชื่อฟังแล้วจะกล้าเอารถถังออกมาปราบไหม นั่นเท่ากับสงครามกลางเมืองนะครับ
ประเด็นหนึ่งที่ยืนยันได้คือเราสามารถสู้เต็มที่โดยไม่กลัวรัฐประหาร ประกาศกฎอัยการศึกก็ประกาศไป ถ้าประกาศกฎอัยการศึก บังคับมวลชนอยู่ในที่ตั้ง กักตัวคณะรัฐมนตรี ยึดสถานีโทรทัศน์ ปิดปากเสียงประชาชน เปิดทางให้วุฒิลากตั้งประชุม ถอดรัฐบาล ตั้งนายกฯ คนกลาง
ผมว่านั่นก็เข้าเป้าแล้ว มันคือรัฐประหารเต็มรูปแบบเช่นกัน ตั้งนายกฯ คนกลางเสร็จ ก็ไม่ต้องไปต่อต้าน แอบไชโยโห่ร้องแล้วส่งมวลชนกลับบ้าน เพราะระบอบนี้ไม่มีทางอยู่รอดหรอก ต่างชาติประณาม ประชาชนต่อต้าน มาอย่างไม่ชอบธรรม ไม่มีทางใช้อำนาจชอบธรรม จะตั้งใครมาเป็นยังไม่รู้เลย ใครจะรับเผือกเผา ให้ถูกประณามไปชั่วลูกชั่วหลาน (หม่อมอุ๋ยมั้ง เพราะยังไงคุณปลื้มก็รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลได้)
ที่พูดอย่างนี้เพราะมองข้ามช็อต ระบอบนายกฯ คนกลางมันพังตั้งแต่เริ่มแล้วครับ อยากให้มาเสียเร็วๆ จะได้พังเร็วๆ พังยกพวง ปัญหามีอย่างเดียวคือเราไม่สามารถยอมรับได้ เราต้องแสดงพลังต่อต้าน ถ้าเรายอมรับ ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะต่อต้านภายหลัง ปมเงื่อนมีประการเดียวคือจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไรโดยไม่นองเลือด รักษามวลชนและสร้างความชอบธรรมไว้ให้มากที่สุด ทำให้พวกเขาต้องดันทุรัง สูญเสียความชอบธรรมจนหมดสิ้น
แต่ก็ไม่ใช่มุ่งหวัง “ทางร้าย” แบบนั้นอย่างเดียว เพราะผมพูดหลายครั้งแล้วว่านี่คือ “แรงฮึดสุดท้าย” ถ้าวุฒิลากตั้งดันทุรังไปไม่ได้ ถ้ากระแสสังคมเข้มแข็งพอที่จะต่อต้านรัฐประหารโดยวุฒิสภา กปปส.กับขบวนการสมคบคิดก็แพ้ทั้งกระดานเหมือนกัน พวกเขาทุ่มสุดตัว สุดสายป่าน ก๊อกสุดท้ายแล้ว แพ้ครั้งนี้ก็ไม่สามารถดิ้นรนอะไรอีกแล้ว
ขอบคุณภาพจาก http://img.tnews.co.th และเดลินิวส์
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ