เครือข่ายสุขภาพร้องดีเอสไอสอบผอ.อภ.และบอร์ด

TCIJ 20 ก.ค. 2557 | อ่านแล้ว 1730 ครั้ง

เครือข่ายองค์กรสุขภาพเตรียมยื่นหลักฐานร้อง DSI สอบทุจริต ผอ.องค์การเภสัชและบอร์ด พร้อมเสนอซุปเปอร์บอร์ดปฏิรูป อภ.ให้เป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชน

สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมด้านสุขภาพเปิดเผยพฤติการณ์ เป็นผลให้บอร์ดองค์การเภสัชกรรมลาออก 10 คนมีผลวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 แต่ยังเหลืออีก 2 คน ที่ยังไม่ได้ลาออก ได้แก่ นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผอ.อภ. และ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า หลังจากใช้เวลารวบรวมหลักฐานเกือบ 2 สัปดาห์ ในวันอังคารที่ 22 กรกฎาคมนี้ เครือข่ายองค์กรสุขภาพทั้ง 8 องค์กรจะไปยื่นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอให้รับพิจารณากรณีคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดที่มีนายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เป็นประธาน และ นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัช (อภ.) มีพฤติกรรมส่อทุจริต และทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐเป็นคดีพิเศษ

          “มี 2 ประเด็นหลักที่เรามีหลักฐานพร้อมให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษคือ การก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตของ อภ. ที่ ผอ. และบอร์ดยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างและร่าง TOR ใหม่เอื้อแก่บริษัทที่เคยทิ้งงานและไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทิ้งงาน ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเคยทักท้วงมา ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่าโรงงานยารังสิตไม่สามารถสร้างเสร็จทันกำหนด  ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ อภ. คือเครื่องจักร อุปกรณ์ ราคาแพงจำนวนมากเสื่อมเพราะไม่ได้ใช้งาน และทยอยหมดอายุรับประกันตามสัญญา เช่น เครื่อง Chiller (เครื่องทำความเย็น) ราคานับร้อยล้านบาท หมดประกันไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2557, โรงงานของ อภ. ที่ถนนพระราม 6 จะต้องทยอยปิดปรับปรุงเพื่อให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนด GMP ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถ้าโรงงานยารังสิตไม่แล้วเสร็จจะเกิดปัญหา ไม่มีโรงงานรองรับการผลิตยาได้เพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาไม่มียาจำหน่ายให้โรงพยาบาล กระทบต่อผู้ป่วยทั่วประเทศรุนแรงขึ้น และปัจจุบันโรงงานยาที่รังสิตต้องเสียค่าสาธารณูปโภคและอื่นๆ เดือนละหลายแสนบาทโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโรงงานเลย”

สำหรับอีกกรณีคือการก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากบอร์ดปลดนายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ อภ. ในขณะนั้นไปแล้ว กลับไม่มีการเร่งรัดเพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว ตรงกันข้ามกลับดำเนินการอย่างล่าช้า

          “มีทั้งความผิดที่โทษกันไปมาระหว่างบอร์ดและ นพ.สุวัชที่เป็น ผอ. จนทำให้บริษัทวัคซีนจากประเทศญี่ปุ่นถอนความช่วยเหลือไป และยังมีความบกพร่องของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ทำเรื่องเพื่อเสนอรัฐมนตรี ก็มีการตั้งคำถามในลักษณะที่น่าจะเป็นการถ่วงเรื่อง จนในที่สุดก็ยังไม่มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด จากความล่าช้าโดยเหตุอันไม่สมควรอย่างยิ่งนี้ หากเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่จะก่อความเสียหายร้ายแรงให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างประมาณมิได้”

ทางด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เสริมว่า อังคารนี้ หลังจากยื่นหนังสือที่ดีเอสไอแล้ว ตัวแทนทั้ง 8 องค์กรจะไปยื่นหนังสือถึงซุปเปอร์บอร์ดและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกครั้ง

          “เราจะนำหลักฐานไปเพิ่มเติมเพื่อ ขอให้ คสช. พิจารณาปลดกรรมการที่เหลือทั้ง 2 คน คือ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการ อภ. โดยเร็ว เพราะทั้งสองมีส่วนร่วมรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายของ อภ. ตามที่ได้แจ้งในหนังสือฉบับก่อนแล้ว เรามีหลักฐานรายงานการประชุมที่ ผอ.อภ. ให้ลดการผลิตยาจำเป็นที่กำไรน้อยลงไป ซึ่งชัดเจนว่าไม่ได้ทำเพื่อประชาชน และเราเสนอให้เร่งเลือกบอร์ดชุดใหม่ด้วยความโปร่งใสและพิจารณาบุคคลที่มีความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกิจการส่วนตัวหรือคนใกล้ชิด นอกจากนี้ จะต้องไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในกรรมการชุดปัจจุบันหรือที่ได้ลาออกไป”

ทางด้าน ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ตัวแทนชมรมเภสัชชนบท กล่าวว่า ปัญหาการก่อสร้างโรงงานยารังสิตที่ไม่มีคามคืบหน้า ขณะที่โรงงานผลิตยาที่ถนนพระราม 6 จะต้องทยอยปิดปรับปรุง เพื่อให้พร้อมต่อการตรวจรับรอง GMP ในเดือนมิถุนายน 2558 จะทำให้กำลังการผลิตยาของ อภ. ลดลงอย่างมาก

          “ปัญหายาตัดจ่ายที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะยิ่งลุกลามออกไปจนกระทบระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของระบบยาของประเทศ โดยโรงพยาบาลจะเผชิญปัญหาการบริหารยา ประชาชนจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด

          “ขณะนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งเผชิญปัญหาการขาดยารักษาโรคเรื้อรังที่จำเป็นหลายรายการ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งผัดผ่อนไปทีละเดือน ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถบริหารจัดการยาได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเปลี่ยนบริษัทยาซึ่งมีสีและรูปลักษณ์ของยาเปลี่ยนไปทำให้ผู้ป่วยใช้ยาซ้ำซ้อน เกินขนาด หรือเกิดความสับสนไม่กล้าใช้ยาดังกล่าว”

และสำหรับหนังสือที่จะมีถึงซุปเปอร์บอร์ดนั้น จะเสนอให้จัดองค์การเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชน โดยต้องมุ่งเน้นบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางยาให้กับประเทศในการตั้งราคาและคิดกำไรที่สมเหตุสมผล ไม่มุ่งแต่แสวงหากำไร

          “อภ. มีบทบาทในการสร้างการเข้าถึงยาจำเป็นให้กับประเทศ เช่น ยากำพร้า ยาที่บริษัทเอกชนไม่สนใจผลิตเพราะได้กำไรน้อย ยาช่วยชีวิต เป็นต้น, ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนายามากกว่าการส่งเสริมการขาย เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองด้านยาได้, การกระจายยา (โลจิสติก) ควรให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพระหว่างการขนส่ง เช่น การควบคุมอุณหภูมิ และให้ความสำคัญกับการจัดส่งยาให้โรงพยาบาลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกล และควรมีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงในการขาดผลิตยา” อดีตประธานชมรมเภสัชชนบทกล่าว

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: