บทเรียนสันติภาพ : รัฐสภาไทยและสภาชูรอ BRN ต้องให้คนปาตานีกำหนดชะตากรรมของตนเอง

อาบีบุสตา ดอเลาะ กลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมชายแดนใต้ (KAWAN-KAWAN) ภาพด้านหน้าโดย บุลยามีน ยาแล 24 ม.ค. 2557


       “ความยุติธรรมและความเจริญรุ่งเรือง หมายถึง เอกราชปาตานี (Patani merdeka) คือ สันติภาพที่แท้จริง” คำชี้แจงและจุดยืน ของบีอาร์เอ็น ผ่านฮะซัน ตอยิบ อดีตคณะผู้แทนการเจรจาของบีอาร์เอ็น เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคำชี้แจงและจุดยันเมื่อคืนที่ผ่านมาสามารถให้ความกระจ่างกับรัฐไทยและประชานหรือยังว่า สิทธิความเป็นเจ้าของอธิปไตย หมายถึงอะไร เพราะก่อนหน้านี้สื่อหลายสำนักและคณะผู้แทนการเจรจาของรัฐไทย มีความกังวลถึงความไม่ชัดเจน ถึงคำดังกล่าวว่ามีความหมายว่าอย่างไร

จากคำชี้แจงและจุดยันดังกล่าวนั้น ส่อเค้าว่าโต๊ะสานเสวนาสันติภาพได้ล่มแล้วการที่บีอาร์เอ็น ขอยุติการพูดคุยสันติภาพในครั้งนี้ จนกว่ารัฐไทยจะยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ได้เสนอไป ตนมองว่ามาจากสาเหตุ 2 ประการ กล่าวคือ

1.การพูดคุยสันติภาพที่เกิดขึ้นครั้งนี้บีอาร์เอ็นไม่สามารถทำให้ประชาชนปาตานีมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพได้

2.รัฐไทยไม่มีความจริงใจในการเจรจาเนื่องจากมิได้นำเรื่องการพูดคุยสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติที่ได้รับการรับรองจากรัฐสภา

ยิ่งในสภาวะที่รัฐไทยกำลังประสบกับวิกฤตความความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรงอาจเกิดสูญญากาศทางการเมือง ทำให้ไม่มีหลักประกันใด ๆ แก่บีอาร์เอ็นที่จะต้องพูดคุยสันติภาพกับรัฐไทยต่อไป แต่กระนั้นการสานเสวนาสันติภาพครั้งนี้ ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองของคนปาตานีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ในการสร้างสันติภาพในอนาคต จากบทเรียนในครั้งนี้หากจะมีการสานเสวนาเจรจาสันติภาพในอนาคต ตนเห็นว่าควรมีแนวทางดังต่อไปนี้

หลังจากมีการเริ่มพูดคุยสันติภาพ แม้จะทราบว่า เป็นการพูดคุยภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตนไม่ค่อยมีความกังวลต่อประเด็นนี้ว่า จะเป็นอุปสรรคในการให้ประชาชนปาตานีมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง โดยมองว่า การพูดคุยดังกล่าวเป็นเพียงกระบวนการเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมตกลงทำการเจรจาสันติภาพในภายหลัง อันเป็นยุทธวิธีทางการเมืองที่แยบยลของพรรคเพื่อไทยแต่ไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคนำเรื่องการพูดคุยกับบีอาร์เอน เป็นเงื่อนไขในการการเคลื่อนไหวทางการเพื่อล้มรัฐบาล อย่างที่เกิดการชุมนุมล้มรัฐบาลจากม็อบต่างๆ จากการที่รัฐบาลออกกฎหมาย พ.ร.บ .นิรโทษกรรมและพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดในขณะนี้

ที่สำคัญก็คือเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางกฎหมาย ในภาวะที่ไม่มีกระบวนการทางกฎหมายและทางการเมืองเพื่อคุ้มครองผู้ที่พูดคุยกับกลุ่มคนที่รัฐไทยอ้างว่าเป็น กลุ่มแบ่งแยกดินแดนหรือผู้ก่อการร้าย การพูดคุยสันติภาพจึงจำเป็นต้องกำหนดให้เป็นการพูดคุยภายใต้รัฐธรรมนูญ  เมื่อมีการตกลงพูดคุยจนทั้งสองฝ่ายมีความไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้วแล้ว ทั้งบีอาร์เอ็นและรัฐไทย จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่สภาของตนเพื่อรับฉันทามติจากสภาสูดสุดของทั้งสองฝ่าย ว่าตกลงจะทำการเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการหรือไม่ ถ้ารัฐสภาของไทยหรือสภาชูรอของบีอาร์เอ็น ไม่เห็นด้วยการเจรจาก็ตกไป แต่หากเห็นด้วยกับการเจรจา ก็จะดำเนินการขั้นตอนต่อไป

ก่อนเข้าสู่การเจรจานั้น ทางฝั่งรัฐไทยจะมีความยุ่งยากและความสับซ้อนในการจัดการทางการเมืองมากกว่าบีอาร์เอ็น เนื่องจากรัฐไทยมีฐานะเป็นรัฐที่เป็นทางการของกฎหมายระหว่างประเทศ  มีกฎหมายภายในที่เป็นอุปสรรในการเจรจาจึงอาจต้องสร้างกระบวนการทางการเมืองและข้อกฎหมายเป็นกรณีพิเศษเพื่อรองรับการเจรจา

ภาพโดย : อับดุลเลาะ แวโดยี

อย่างไรก็ตาม ฉันทามติที่ได้จากสภาสูงสุดของแต่ละฝ่ายที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมทำการเจรจาจะเกิดขึ้นกรณีเดียว คือ ยินดีให้คนปาตานีกำหนดชะตากรรมด้วยตนเองประชาชนต้องการอะไร เพราะเป็นหลักการที่ยังคงรักษาสถานะของทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบ หากเป็นหลักการอื่นนอกจากนี้ โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขที่ทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ คงเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะทำการเจรจาด้วย เช่น หากรัฐไทยกำหนดเงื่อนไขว่า การเจราจาจะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย การเจรจาก็ไม่อาจเดินต่อไปได้เพราะอุดมการณ์ของบีอาร์เอ็น คือเอกราช หรือหากบีอาร์เอ็นกำหนดเงื่อนไขว่า การเจรจาจะต้องจะต้องได้เอกราชสถานเดียว การเจรจาก็ไม่อาจเดินต่อไปได้เช่นเดียวกัน เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญของไทย

การถามประชาชนปาตานีจึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดแล้วแก่สองฝ่าย (WIN-WIN) หลังจากได้รับฉันทามติจากอำนาจสูงสุดของแต่ละฝ่ายแล้ว ก็จะนำเรื่องดังกล่าวไปสู่ การเจรจาสันติภาพ ซึ่งบีอาร์เอ็นและรัฐไทย ต้องทำการเจรจาตกลงโดยกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงฉบับใหม่ อันมีสาระสำคัญว่าให้ประชาชนปาตานีกำหนดชะตากรรมของตนเอง

อันหมายถึงการทำให้ประชาชนปาตานี มีส่วนร่วมในการนิยามสันติภาพให้มากที่สุด ว่าพวกเขาต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไร การเจรจาไม่ว่าจะมีปลายทางเป็นอย่างไร จะเป็นเขตปกครองพิเศษ(เหมือนพัทยาและกรุงเทพมหานคร) เขตปกครองตนเอง(Autonomous area) เอกราช (Independence) หรือโมเดลอะไรก็แล้วแต่ การเจรจาดังกล่าวมิอาจทำให้ปาตานี(ชายแดนใต้)เกิดสันติภาพได้ ถ้าการเจรจาเป็นเพียงข้อตกลงเฉพาะระหว่างรัฐไทยกับกับกลุ่มขบวนการเท่านั้นโดยประชาชนปาตานี(ชายแดนใต้)ไม่มีส่วนร่วม

ดังนั้นการเจรจาของคู่ขัดแย้งหลักระหว่างรัฐไทย กับกลุ่มขบวนการจะต้องให้ทั้งสองฝ่าย มีมติร่วมกันว่าประสงค์จะให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) กำหนดชะตากรรมของตนเอง โดยข้อตกลงดังกล่าวจะต้องเป็นมติจากสภาสูงสุดของทั้งสองฝ่าย ซึ่งหมายถึงรัฐสภาของรัฐไทยและสภาชูรอของบีอาร์เอ็น ส่วนจะให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้)กำหนดชะตากรรมของตนเองอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายว่าจะมีวิธีการอย่างไร

สำหรับทัศนะของตนเห็นว่า การที่จะให้ประชาชนปาตานีกำหนดชะตากรรมของตนเองนั้น การใช้กระบวนการ หย่อนบัตรลงคูหา เหมือนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและเป็นอารยะที่สุดในยุคสมัยนี้ ให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) กากบาทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาต้องการอะไร ทุกฝ่ายจะได้ไม่ต้องแอบอ้างอีกต่อไปว่าประชาชนปาตานี(ชายแดนใต้)เห็นด้วยกับฝ่ายตนและและไม่สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การแก้ปัญหาสงครามที่ปาตานีนั้นมีหลายประเด็นที่มีความเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ ที่ไม่ตรงกัน อาทิ การถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ การยกเลิกกฎหมายพิเศษ การใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ เป็นต้น แต่ประเด็นหนึ่งที่เห็นว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น รัฐไทย บีอาร์เอ็น (BRN) นักวิชาการ ภาคประชาสังคม นักศึกษาและกองกำลังติดอาวุธของทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยและไม่เคยมีใครปฎิเสธ คือ การให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แต่ในความเป็นจริง ไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม เพราะไม่เคยมีฝ่ายใดนำเสนอกระบวนการทางการเมือง ว่าประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างไร การที่หน่วยงานของรัฐ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ นักศึกษาหรือหน่วงงานอื่น ๆ ที่ขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพที่อ้างว่าอยากให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) มีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพจึงเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ที่สวยหรู บนเวทีเสวนาแต่จับต้องไม่ได้

ตนเห็นว่า การลงประชามติเป็นกระบวนการทางการเมืองที่ประชาชน สามารถมีส่วนร่วมได้มากที่สุดและหลายประเทศก็ใช้กระบวนการนี้ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งและยุติสงคราม

ภาพโดย : อิบรอเฮ็ม มาโซ๊ะ

รัฐไทยมั่นใจโดยตลอดว่า ประชาชนชายแดนใต้ เป็นคนไทยที่ไม่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ผู้ที่ก่อเหตุเป็นเพียงกลุ่มคนกลุ่มน้อย สื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวชายแดนใต้ล้วนชี้ว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เป็นผู้ที่โหดร้าย ใช้ความรุนแรง รัฐไทยจึงควรใช้การลงประชามติเพื่อเป็นบทพิสูจน์ต่อประชาคมระหว่างประเทศว่า ข้ออ้างของบีอาร์เอ็น (BRN) ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของคนปาตานีและประชาชนปาตานีเห็นด้วยกับการต่อสู้ของบีอาร์เอ็น (BRN )นั้นฟังไม่ขึ้นอันจะทำให้การเคลื่อนไหวการต่อสู้ของบีอาร์เอ็น (BRN)ไม่ชอบธรรมอีกต่อไป

เช่นเดียวกับบีอาร์เอ็น (BRN) หรือกลุ่มขบวนการกลุ่มอื่นๆที่อ้างว่าการต่อสู้ของฝ่ายตนเป็นการต่อสู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) สงครามจึงเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราชที่มาจากความต้องการของประชาชนปาตานี(ชายแดนใต้) บีอาร์เอ็น (BRN) ก็จะต้องพิสูจน์ต่อประชาคมโลกเช่นเดียวกันว่าประชาชนปาตานีต้องการเอกราชตามที่ตนได้กล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม แม้การลงประชามติจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแต่ในความเป็นจริง การที่รัฐไทยและบีอาร์เอ็น(BRN) จะเห็นพ้องต้องกันว่าควรจัดทำการลงประชามติแทบจะเป็นไม่ได้เพราะในเวลานี้ไม่มีฝ่ายใดทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วประชาชนปาตานี(ชายแดนใต้)ต้องการอะไรและนอกจากนี้ก่อนการลงประชามติประชาชนปาตานี(ชายแดนใต้) ควรมีหลักประกันจากทั้งสองฝ่ายว่า หลังจากการทำประชามติอนาคตของปาตานีจะเป็นเช่นไร เพื่อความเป็นไปได้ที่ทั้งสองจะตกลงทำการประชามติและการทำประชามติเกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายก่อนการลงประชามติจึงควรมีการดำเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้

1.รัฐสภาไทยและสภาชูรอของบีอาร์เอ็น (BRN) ลงนามในข้อตกลงการเจรา ว่าจะให้ประชาชนปาตานี(ชายแดใต้)เป็นคนกำหนดชะตากรรมของตนเองผ่านการลงประชามติ โดยให้สหประชาชาติเป็นคนกลางดำเนินกระบวนลงประชามติ

2.บีอาร์เอ็น(BRN)และรัฐไทยต้องยุติการต่อสู้โดยการใช้อาวุธ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าแต่ละฝ่ายสามารถควบคุมกองกำลังติดอาวุธของตนเองได้

อย่างไรก็ตาม หากมีการก่อความไม่สงบในพื้นที่ ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ควรนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการลงประชามติ เพราะทั้งสองฝ่ายล้วนมีกองกำลังของตนเองที่สามารถก่อเหตุเพื่อทำลายความชอบธรรมของอีกฝ่ายได้เสมอ หากการลงประชามติจะดำเนินการได้โดยมีเงื่นไขว่า เหตุการณ์จะต้องสงบก่อนกระบวนการลงประชามติจะเกิดขึ้นไม่ได้ เลยเนื่องจากตราบใดที่ฝ่ายใดไม่มั่นใจว่าฝ่านตนจะชนะการลงประชามติ ฝ่ายนั้นจะต้องมีการก่อเหตุความไม่สงบเพื่อขัดขวงการลงประชามติให้ยืดเยื้อต่อไป

3.รัฐไทยออกกฎหมายกรณีพิเศษเพื่อคุ้มครองผู้ที่เห็นต่างจากรัฐ เพื่อทำให้สงครามที่ต่อสู้ด้วยอาวุธเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ซึ่งจะสร้างทางเลือกให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) ต่อสู้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และกองกำลังติดอาวุธของทั้งสองฝ่าย

4.กำหนดระยะเวลา 10 ปี เพื่อให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้นำเสนอทางเลือกให้แก่ประชาชน ว่าอะไรเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหสำหรับปาตานีและหลังจากการลงประชามติอนาคตของปาตานีจะเป็นเช่นไร

5.ครบ 10 ปีให้ประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้) ลงประชามติโดยให้สหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศดำเนินการจัดการลงประชามติ

ปัญหาสงครามในขณะนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการล่าอาณานิคมของรัฐสยามในอดีต แล้วผนวกรัฐปาตานีเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยาม โดยใช้สัญญาปี คศ.1909 ที่สยามกับบรีทิชหรืออังกฤษทำสนธิสัญญาแบ่งดินแดนกันภายใต้สัญญาที่ชื่อว่า Anglo-Siamese Treaty โดยที่ประชาชนปาตานีไม่มีส่วนรู้เห็นกับสนธิสัญญาดังกล่าว หลังจากนั้นก็มีขบวนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยรัฐปาตานีเป็นต้นมา จนปรากฎเป็นสงครามในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับกลุ่มขบวนการที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยรัฐปาตานี (ชายแดนใต้) ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ประจักษ์ชัดว่า เอกราชนั้นเป็นความต้องการของประชาชนปาตานี (ชายแดนใต้)อย่างแท้จริง ดังนั้น ภายใต้การสู้รบระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มขบวนการโดยมีลมหายใจของคนปาตานี(ชายแดนใต้)เป็นตัวประกัน คนปาตานี (ชายแดนใต้)จึงมีควรมีสิทธิกำหนดชะตามกรรมของตนเอง เพื่อแสดงเจตจำนงที่แท้จริง ว่าเขาต้องการอะไร

เราเชื่อมาโดยตลอดว่ามนุษย์นั้นมีสติปัญญา ดังนั้น ปัญหาสงครามที่ปาตานี (ชายแดนใต้)นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าท้ายสำหรับมนุษยชาติที่จะหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร มีนวัตกรรมสันติภาพอะไรบ้างที่สามารถยุติการสู้รบและสงคราม สำหรับผู้เขียนแล้วในศตวรรษที่ 21 การลงประชามติถือเป็นเครื่องมือที่ดีสุดและเหมาะสมที่สุดที่เท่ามนุษยชาติมีอยู่ในยุคสมัยนี้

 

ขอบคุณข่าวจาก ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (deepsouth) http://www.deepsouthwatch.org/

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: