คปก.ชูปฏิรูปกม.ผู้สูงอายุ เล็งขยายสิทธิ-ตั้งกองทุนฯ

25 เม.ย. 2557 | อ่านแล้ว 2714 ครั้ง

วันที่ 24 เมษายน คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) โดยคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านสวัสดิการสังคม จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พ.ศ. ...นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเผยว่า การปฏิรูปกฎหมายอาศัยองค์ความรู้สองส่วนคือ องค์ความรู้ที่มาจากการวิจัย และองค์ความรู้ที่ได้จากการระดมความคิดเห็นซึ่งในการดำเนินงานของคปก.ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย และอีกประการหนึ่งคปก.มีความเป็นอิสระที่จะผลักดันร่างกฎหมายต่าง ๆ และขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สะท้อนจากสถิติจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี คาดว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้สังคมไทยอยู่ด้วยกันอย่างสงบเรียบร้อย

เร่งปรับปรุงกฎหมายรองรับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี

นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เปิดเผยว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พ.ศ. .... เป็นร่างกฎหมายที่ร่างขึ้นใหม่เพื่อปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ที่เป็นกฎหมายที่รับรอง และคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้อายุโดยปี 2556 มีจำนวนผู้สูงอายุร้อยละ 14.73 และในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 19.13 จึงจำเป็นที่จะดูแลผู้สูงอายุโดยไม่เลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตามจากการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ต้องการสงเคราะห์ แต่ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงต้องการที่จะพึ่งตนเองได้ ดังนั้นจึงต้องคุ้มครองส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ส่งเสริมการมีรายได้ที่เพียงพอ และควรได้รับการบริการที่มีคุณภาพและทั่วถึง

นางสุนีกล่าวว่า ในแง่ของสิทธิในร่างกฎหมายดังกล่าว ได้ขยายสิทธิผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัย ได้กำหนดให้มีการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาและฟื้นฟูสมรรถนภาพอย่างครบวงจรทั้งในสถานพยาบาลและที่พักอาศัย อีกทั้งในด้านที่อยู่อาศัยในมาตรา 30 ได้ระบุให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุ ซึ่งมีที่พักอาศัยสามารถดำรงชีวิตอยู่กับครอบครัว กรณีที่ดำรงชีวิตตามลำพัง ให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนช่วยเหลือ ให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตตามปกติ กรณีที่พักอาศัยไม่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตตามปกติ ให้หน่วยงานรัฐสนับสนุนให้มีการปรับปรุงแก้ไข หรือซ่อมแซม นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญเรื่องการทำงาน และการมีรายได้ ที่ถือเป็นเรื่องใหม่คือ ให้นายจ้างรับผู้เกษียณอายุเข้าทำงาน โดยนายจ้างมีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี แต่หากนายจ้างที่ไม่รับผู้สูงอายุเข้าทำงาน ให้จ่ายเงินเข้ากองทุนเป็นรายปีร้อยละ 50 ของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.nong-or.go.th/wp-content/uploads/2011/05/IMG_4716-Medium.jpg

ภาคประชาสังคมหนุนคลอดกม. เพิ่มคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ

ทางด้านพ.ญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้นี้ค่อนข้างครอบคลุม ในประเด็นปัญหาที่ต้องการปรับปรุงแก้ไข อย่างไรก็ตามยังมีรายละเอียดบางประเด็น ที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติม เช่น มาตรการคุ้มครองตามสิทธิ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไร้สมรรถภาพ ยังไม่มีกลไกในการคุ้มครองทรัพย์สินแก่ผู้สูงอายุในทางกฎหมาย ขณะเดียวกันร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาในลักษณะรัฐสวัสดิการ อีกทั้งอาจจะเป็นภาระทางการคลังในอนาคต เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากหรือคิดเป็น 14 เปอร์เซนต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) นอกจากนี้ยังมีประเด็นเสนอแนะว่า ควรจะสร้างสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ซึ่งเอื้อต่อผู้สูงอายุ โดยอาจจะต้องมีมาตรการบังคับใช้ทางกฎหมาย แม้กระทั่งการใช้เทคโนโลยีในสถานที่ทำงานก็ต้องมีมาตรการในการส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ให้ชัดเจน

นายทวีป กาญจนวงศ์ ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กล่าวว่า ในร่างฯมาตรา 19 ที่กำหนดให้มีสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ควรเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ เพื่อจะได้วินิจฉัยเรื่องราวร้องทุกข์ต่าง ๆ และติดตามตรวจสอบด้วย เมื่อผู้สูงอายุมีสิทธิแล้วจะได้ติดตามตรวจสอบอีกขั้นตอนหนึ่งว่า รับสิทธิดังกล่าวจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับมาตรา 26 ซึ่งกำหนดให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในเรื่องต่าง ๆ ควรเปิดกว้างไว้ ไม่ควรเขียนไว้ในกรอบแคบๆ

ขอบคุณภาพจาก http://www.aecnews.co.th/media/news/picture_aecnews/social/so001061.jpg

ห่วงเป็นภาระท้องถิ่น แนะผนึกรัฐ-เอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ

นางปราณีต ถาวร รองเลขาธิการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ส่วนตัวมองด้วยความเป็นจริง ยังคิดว่าเป็นกฎหมายในฝัน อาจไม่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะประเด็นที่ไม่กำหนดสัญชาติ จะเป็นการเปิดกว้างเกินไปหรือไม่ แต่ในเมื่อระบุว่าจะมีกำหนดไว้ในประกาศฯ ก็ไม่ขัดข้อง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมและกระจายอำนาจให้องค์กรส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมนั้น ยังไม่ปรากฏรายละเอียดที่ชัดเจน อาจจะนำข้อสังเกตไปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เช่นเดียวกับในมาตรา 32 ระบุ ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตเป็นรายเดือนนั้น ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นภาระแก่ท้องถิ่น เพราะในความเป็นจริงที่ผ่านมาเป็นความฉ้อฉลทางนโยบายของนักการเมือง จึงอยากให้ คปก.เชิญผู้แทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ร่วมหารืออีกครั้ง เนื่องจากอปท.เป็นผู้ปฏิบัติโดยตรง

นางพรรณประภา อินทรวิทยนันท์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ในแง่ของกฎหมายประเทศมีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณากฎหมายฉบับนี้ เราควรมีนโยบายส่งเสริมระหว่างกันระหว่างภาครัฐ อปท. ผู้สูงอายุ ครอบครัวผู้สูงอายุ และภาคเอกชน เป็นไปในลักษณะหุ้นส่วน โดยสรุปกฎหมายฉบับนี้หากไปบังคับให้เกิดโมเดลนี้ คิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุด

ด้าน นายนิธิ พันธุ์มณี ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า ในการเตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกองทุนอาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะใช้ระบบสมัครใจหรือระบบบังคับ เพราะในเรื่องของกองทุนที่จะเข้าไปดูแลผู้สูงอายุนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และท้องถิ่นควรจะเข้าไปสนับสนุน ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ของมาตรา 32 ที่ระบุให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตเป็นรายเดือนนั้นจะมีความเป็นไปได้หรือไม่

ขอบคุณภาพจาก http://www.lrct.go.th/th/wp-content/uploads/2014/04/232408rpp3qjwhf3rkoy3p.jpg

ชี้ช่องโหว่นิยาม“หน่วยงานรัฐ”ส่อปัญหา กระทรวงแรงงานหวั่นเรื่องร้องเรียนพุ่ง

นางวิไลวรรณ เทียงดาห์ ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นกับพ.ร.บ.ฉบับนี้ ประเด็นที่สำคัญคือ มาตรา 13 เห็นว่า ควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนกลาง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญ ส่วนร่างฯมาตรา 32 ที่นำไปผูกติดกับค่าจ้างขั้นต่ำ ควรที่จะศึกษาให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น และการที่จะให้กระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์นั้นอาจจะมีปัญหาเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ ตามมาเช่นเดียวกับประเด็นปัญหาคนพิการ

น.ส.ณัฐภัทร ถวัลโพธิ กรรมการร่างกฎหมายประจำสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า  มีประเด็นข้อสังเกตว่า หน่วยงานของรัฐ ตามคำนิยามในร่างฯนี้ หมายความถึง กระทรวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา อาจจะส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรา 38-40 ที่ระบุเพียงให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอย่างชัดเจน คาดว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติอย่างแน่นอน

นางราศี เบญจาทิกุล  ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ร่างฯ ในส่วนที่ 4 เรื่องเงินส่งเสริมคุณภาพชีวิตไปผูกโยงกับเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน แนวคิดดังกล่าวควรมีการศึกษาข้อมูลในเชิงลึกเพื่ออ้างอิงหลักคิดนี้ด้วย และในมาตรา 36 ที่ระบุให้นายจ้างรับผู้สูงอายุแล้วเข้าทำงานถือเป็นความพยายามที่ดีที่จะบังคับทางกฎหมาย แต่ควรจะพิจารณาในรายละเอียดที่รอบด้านอีกครั้ง โดยควรจัดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากนายจ้างและผู้มีส่วนได้เสียด้วย ขณะเดียวกันการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ ยังเห็นว่า ควรเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้วย และควรให้ผู้ประกอบการได้มีระยะเวลาเตรียมตัวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

ขอบคุณภาพจาก http://www.cpthailand.com/

ผุดกลไกรวมกลุ่มผู้สูงอายุ-กลไกจังหวัดติดตามผล

ขณะที่ นายวันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ดี หากพิจารณาการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในกฎหมายฉบับนี้ได้เขียนไว้ครอบคลุมแล้ว แต่อยากให้พิจารณาถึงเรื่องคุณค่าผู้สูงอายุและการดูแลสุขภาพรวมถึงเรื่องของสิทธิไว้ด้วย ประกอบกับเห็นว่า ควรจะมีกลไกใหม่ทางวิชาการ ซึ่งในกฎหมายยังไม่ได้ระบุว่าจะมาจากไหน อีกทั้งยังขาดกลไกการรวมกลุ่มของประชาชนผู้สูงอายุ ซึ่งยังไม่ได้ระบุ สิทธิในการรวมกลุ่มเพื่อการจัดบริการกันเองและดูแลกันเอง ขณะเดียวกันเห็นว่า ควรจะเพิ่มกลไกในระดับจังหวัดและการติดตามและประเมินผลเข้าไปด้วย เพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

วางกรอบเตรียมความพร้อมรายได้-การศึกษา

พ.ญ.วันทนีย์  วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อปท.จะมีบทบาทสำคัญ ตามร่างฯที่ยกขึ้น ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับบริบทของกรุงเทพมหานคร และจากการสำรวจการติดตามแผนของผู้สูงอายุแห่งชาติ ขณะนี้มีผู้สูงอายุที่มีสมรรถภาพและผู้สูงอายุที่ต้องรักษาพยาบาล หากมีระบบบริการทางการแพทย์ที่ดี ก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ผู้สูงอายุอีกประเภทคือผู้ป่วยติดเตียง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดูแลโดยกรุงเทพมหานคร แต่สิ่งที่ยังไม่พูดถึงคือการเตรียมความพร้อมของประชาชนใน 4 ด้านคือ 1.การเตรียมตัวในเรื่องสุขภาพ 2.การเตรียมการในเรื่องรายได้ 3.การเตรียมความพร้อมด้านที่พักอาศัยและสิ่งแวดล้อม 4.การเตรียมความพร้อมด้วยการเชื่อมโยงไปสู่เรื่องการศึกษา หากพิจารณาในรายละเอียดร่างฯ ฉบับนี้ ในเรื่องคำนิยามนั้น องค์กรชุมชนผู้สูงอายุ ในกทม.มีองค์กรและชมรมผู้สูงอายุจำนวนมาก อาจจะต้องมีการทำความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งคำนิยามนี้ควรกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจนด้วย เช่นเดียวกับคำนิยาม ผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้ช่วยผู้สูงอายุ

ขอบคุณภาพจาก

http://www.pattayadailynews.com/pattaya-news-th/wp-content/uploads/2012/04/old-man1.jpg

นางสุวัฒนา ศรีภิรมย์ ที่ปรึกษาแผนงานเรื่องการขับเคลื่อนบำนาญชราภาพ กล่าวว่า ในส่วนของภาระทางการคลัง แม้จะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากแต่คิดว่าคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมการมาตั้งแต่ต้นก่อนที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยกฎหมายที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ควรจะสอดคล้องกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องรวมถึงสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย ทั้งเรื่องการออม การรักษาพยาบาล เป็นต้น

นางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวว่า ภาพรวมของกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างดีเน้นการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างครอบคลุม และพร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมกับคปก.ในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ขณะเดียวกันส่วนตัวเห็นว่าควร เพิ่มมาตรา 33 เขียนให้ชัดว่า จะทำอย่างไรผู้สูงอายุเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแก่ผู้สูงอายุ ประเด็นที่สอง กฎหมายฉบับนี้ต้องระบุเรื่องสิทธิให้ชัดเจน โดยยืนยันบนหลักการให้คุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุอย่างสมศักดิ์ศรี เพิ่มความมั่งคั่งโดยกระจายการจัดเก็บภาษีอย่างเหมาะสม และมีข้อเสนอด้วยว่า ควรเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในเรื่องการรณรงค์และทำความเข้าใจ

ขอบคุณภาพแรกจาก http://www.phitsanulokhotnews.com/wp-content/media/2013/12/IMG_0455.jpg

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

 

 

 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: