บทวิเคราะห์: รัฐธรรมนูญ 2557: ฉบับหลอกตัวเอง

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี 29 ก.ค. 2557 | อ่านแล้ว 2745 ครั้ง

รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีถ้อยความที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทยในเวลานี้หลายบทหลายตอน แต่ที่ผิดฉกาจฉกรรจ์ที่สุดเห็นจะได้แก่มาตรา 2 และ 3 โดยมาตรา 2 มีใจความว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ส่วนมาตรา 3 ผิดตรงความที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”

ถ้าพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว ความทั้งสองมาตราดังกล่าวนั้นมีความสอดคล้องต้องกันดี รัฐธรรมนูญของไทยหลายฉบับในอดีตที่เคยใช้และถูกยกเลิกไปแล้วนั้นก็มีข้อความเช่นว่านั้นปรากฏอยู่เช่นกัน จึงไม่ควรเห็นเป็นเรื่องประหลาดหากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะคัดลอกข้อความดังกล่าวมาบรรจุเอาไว้อีก

แต่ถ้าหากพิจารณากันตามข้อเท็จจริงแล้ว บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2557 ในสองมาตราดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพการเมืองที่เป็นอยู่จริงในปัจจุบัน ประเทศไทยในปัจจุบันนี้ปกครองโดยพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเป็นเรื่องจริงแน่นอน แต่รูปแบบการปกครองในปัจจุบันและตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่อาจะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย  อีกทั้งไม่มีองค์ประกอบใดในส่วนของการปกครองที่บ่งบอกความเป็นประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย

ความจริงผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2557 เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ทั้งยังอยู่ในแวดวงทางการเมืองมานาน ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าประเทศไทยปัจจุบันนี้ปกครองด้วยระบอบทหารอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ครั้นจะว่าท่านมีความประสงค์ให้ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงได้ใส่ข้อความนี้เอาไว้ในมาตรา 2 ดังกล่าวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะความในมาตราอื่นๆ ไม่ได้บัญญัติหลักการแห่งประชาธิปไตยเอาไว้ตรงไหนเลยตลอดทั้ง 48 มาตรา บทบัญญัติแห่งมาตรา 2 จึงไม่สะท้อนรูปแบบการปกครองของไทย หากแต่สะท้อนอาการหลอกลวงตัวเองของผู้ร่างรัฐธรรมนูญนี้และของคณะบุคคลที่มีอำนาจโดยรวมๆ ที่ประสงค์จะหลอกตัวเองต่อไปว่า ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ต้องการเช่นนั้น

มาตรา 3 ยิ่งปรากฏสภาพแห่งการโป้ปดมดเท็จนี้ต่อไป เมื่อระบุว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ความจริงแม้แต่ในทางตำราก็ดูเหมือนจะได้ข้อยุติแล้วว่า อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยนั้นจะถูกดึงไปจากมือของประชาชนในทันทีที่มีการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจการปกครอง คณะรัฐประหารซึ่งในกรณีนี้เรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติคือองค์รัฏฐาธิปัตย์ คืออำนาจอธิปไตยของชาติอยู่แล้ว ดังนั้น คณะนี้จึงได้ถืออำนาจนี้ออกกฎหมายและคำสั่งต่างๆ นานาได้ตามอำเภอใจ ประชาชนจะคัดค้านอันใดมิได้ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือแม้แต่ตุลาการ ในบางกรณีก็อยู่ที่คณะผู้ยึดอำนาจนี้เท่านั้น การที่มาตรา 42 แห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงอยู่และมีอำนาจอยู่ต่อไป รวมตลอดถึงใช้อำนาจในการแต่งตั้งฝ่ายนิติบัญญัติและอื่นๆ ก็เท่ากับเป็นการสืบต่ออำนาจอธิปไตยที่ได้ยึดมานั้นเอาไว้ต่อไปด้วย ก็ไม่เห็นว่าอำนาจอธิปไตยจะเป็นของปวงชนชาวไทยแต่อย่างใด การบัญญัติว่าอำนาจใดเป็นของใคร ความหมายไม่ได้อยู่ที่ว่าได้บัญญัติเอาไว้เช่นนั้น หากมิได้ปรากฏว่าประชาชนชาวไทยได้มีโอกาสใช้อำนาจเช่นว่านั้น จะบัญญัติเอาไว้ให้ดูเสมือนเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชนไปทำไม

ในโลกของความเป็นจริงนั้น หากแม้นรัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้เช่นนั้นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่ประชาชนไม่สู้มีโอกาสจะได้ใช้อำนาจอธิปไตยเช่นว่านั้นจริงๆ นัก ในวิถีทางแห่งประชาธิปไตยจึงได้จัดให้ประชาชนได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เอาผู้แทนไปใช้อำนาจนั้นผ่านทางฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ส่วนทางตุลาการส่วนใหญ่เขียนเอาไว้โก้ๆ แค่นั้น ยังไม่เคยปรากฏว่ารูปแบบการใช้อำนาจตุลาการของประชาชนจริงๆ ทำกันอย่างไร

ดังนั้น เมื่อไม่มีการเลือกตั้งหรือฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่มีฐานหรือความเชื่อมโยงใดๆ กับประชน ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้งหรือรูปแบบอื่นใด จะพูดได้อย่างไรว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ในมาตร 3 นี้ควรบัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ส่วนคณะนี้จะเอาไปให้ใครใช้ต่อหรือจะไปเซ้งให้ใครก็ค่อยบัญญัติไว้ในมาตราอื่นๆ ต่อไปก็ย่อมทำได้

ความจริงหากแม้นกล้าใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองจากปวงชนชาวไทยแล้ว ก็ไม่เห็นต้องเหนียมอายอะไรที่จะประกาศกันตามความสัตย์จริงว่า การปกครองหลังจากการยึดอำนาจแล้วเป็นการปกครองในระบอบเผด็จการทหาร หรือแบบอำนาจนิยมหรือจะเรียกอย่างอื่นใดก็ได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหลอกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย

และถ้าหากว่า ได้บัญญัติมาตราแรกๆ ในมาตรา 1, 2 และ 3 เอาไว้โดยถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและสภาพของการปกครองบ้านเมืองเสียแล้ว ความจำเป็นในการบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เยิ่นเย้อก็มีไม่มากนัก แม้แต่มาตรา  44 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องเอามาเขียนเอาไว้ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งคือรัฎฐาธิปัตย์ใช้อำนาจอย่างใดก็ได้อยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยเด็ดขาดว่า ประเทศไทยไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะได้ประกาศเอาไว้ในรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้งว่า ประเทศไทยไม่ได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย การใดที่เป็นหลักการในระบอบประชาธิปไตยย่อมขัดกับหลักพื้นฐานแห่งการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้

รัฐธรรมนูญนั้น ในทางตำรากฎหมายหรือรัฐศาสตร์ทั่วไปก็เห็นว่าเป็นของจำเป็น เพราะเป็นสิ่งกำหนดระบบระเบียบของการใช้อำนาจและความสัมพันธ์ทางอำนาจการเมืองของหมู่เหล่าต่างๆ ในหลายประเทศถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ เพราะมันจะทำให้ระบบระเบียบของอำนาจนั้นเสียไป การล้มล้างรัฐธรรมนูญจึงถือว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงฐานก่อกบฏ

แต่ทว่ารัฐธรรมนูญนั้นก็ไม่เท่ากับการมีประชาธิปไตย แม้ในตัวบทจะได้บัญญัติว่าระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่มันคงไม่สามารถทำให้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยได้ หากบทบัญญัติอื่นๆ และสภาพการณ์ที่เป็นจริงทางการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยหรือมีองค์ประกอบหรือหลักการพื้นฐานใดที่เป็นประชาธิปไตยรองรับอยู่เลย

ประเทศไทยนั้นทำการรัฐประหารกันจนเคยชิน เราเคยมีและเลิกใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 18 ฉบับ และฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 19  เป็นที่แน่นอนว่าไม่ใช่ฉบับสุดท้าย ฉบับที่ 20 ก็คงจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ดังนั้น รัฐธรรมนูญของไทยจึงไม่ค่อยมีความศักดิ์สิทธิ์อะไรนัก อีกทั้งเคยมีในประวัติศาสตร์ว่า บางห้วงเวลาประเทศไทยเคยปลอดหรือว่างเว้นจากการใช้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป อันที่จริงคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ใช้อำนาจดิบๆ ของตัวเองมาได้ถึง 2 เดือนเต็มโดยปราศจากรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมีรัฐธรรมนูญ ปัญหาทางข้อกฎหมายใดๆ อันหากจะมี ซึ่งความจริงแล้วมันจะไม่มีเลย ก็ให้คณะนี้เป็นคนพิจารณาได้อยู่แล้ว คำสั่งใดๆ ก็ถือว่าเป็นกฎหมายอยู่แล้ว

การมีรัฐธรรมนูญแต่ให้การรับรองอำนาจแก่บุคคลแค่คณะเดียวเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ศิวิไลซ์ทัดเทียมนานาอารยประเทศแต่อย่างใดเลย ตรงกันข้าม การเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้รังแต่จะบอกให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยเป็นอาณาจักรแห่งความหลอกลวง ดำรงอยู่ได้ด้วยการหลอกตัวเองไปวันๆ เท่านั้น

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊ค TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: