“คำท้าราดน้ำแข็ง” (Ice Bucket Challenge) เกี่ยวกับโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง กำลังเป็นเรื่องที่นำมาสู่การบริจาคเพื่อการกุศลอย่างมโหฬารในช่วงฤดูร้อน เพื่อพยายามที่จะหาหนทางบำบัดรักษาเกี่ยวกับโรคที่รู้จักกันในนามของ โรคลู เกห์ริก (Lou Gehrig’s Disease) และจวบจนกระทั่งถึงวันนี้ การรณรงค์ที่แพร่กระจายกันอย่างไฟลามทุ่ง ได้นำเงินบริจาคเข้ามาให้กับองค์กร ALS เป็นจำนวนมากกว่า 94 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,055 ล้านบาท) นั่นคือการเปรียบเทียบกับจำนวนเงินบริจาคที่หาได้จากการทำงานขององค์กรในเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหาเงินได้เป็นจำนวน $2.7 ล้านเหรียญ (87.75 ล้านบาท)
ในปัจจุบัน ทางองค์กรกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายกับตัวขององค์กรเอง ในการพิจารณาว่า หนทางใดจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดต่อการทำการจับจ่ายใช้สอยกับเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้
“มันเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบางทีมันถึงกับขั้นที่มีความรู้สึกท่วมท้นทางจิตใจขึ้นมานิดหน่อย” กล่าวโดยคุณบาบาร่า นิวเฮ้าส์ (Barbara Newhouse) ซึ่งเป็นประธานใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารขององค์กร
เธอกล่าวว่า มันเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ในการดำเนินการกับเงินบริจาคที่ทางกลุ่มไม่เคยได้รับมาเป็นจำนวนมากมายแบบนี้มาก่อน
“ดูไปแล้ว มันก็เหมือนกับคนที่ถูกล็อตเตอรี่ซึ่งได้รับเงินมาเป็นจำนวนมาก และหลังจากนั้นอีกสี่ปี ตัวก็มองดูตัวเองในกระจกเงา แล้วก็พูดว่า ฉันทำอะไรลงไปกับเงินก้อนนั้น? แล้วเงินเหล่านั้นมันไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้?” เธอกล่าว “เราไม่ต้องการให้เหมือนเป็นแบบคนที่ถูกล็อตเตอรี่ แต่เราต้องการนำเอาเงินเหล่านี้ไปใช้ และวางแผนพิจารณากันอย่างรัดกุมรอบคอบ และแน่ชัดที่สุดว่า เราจะนำมันไปจับจ่ายใข้สอยกันอย่างไรบ้าง”
คุณ Newhouse กล่าวว่า ทางกลุ่มได้เริ่มการปรึกษาหารือกับผู้ทำการประสานงาน, อาสาสมัครและองค์กรย่อย 38 แห่งที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศว่า จะนำเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายอย่างไร เธอกล่าวถึงการเน้นเกี่ยวกับการขยายงานที่ทางกลุ่มได้กระทำกันอยู่ในปัจจุบัน–คือการให้ทุนกับการค้นคว้าวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Research) ด้วยการให้การดูแลรักษาและให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ป่วยโรค ALS และสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา รวมทั้งกุล่มของผู้ให้การสนับสนุน (Advocacy) ข้อเสนอขององค์กรจะถูกนำมาปรึกษาหารือกันในการประชุมบอร์ดคณะกรรมาธิการ (Board of Trustees) ในเดือนตุลาคม และเธอกล่าวว่า หลังจากนั้น การตัดสินใจต่างๆ จะกระทำกันด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“มันไม่ใช่เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินอย่างรวดเร็ว แต่มันเป็นเรื่องของการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบต่างหาก” เธอกล่าว
คุณเคน เบอร์เกอร์ (Ken Berger) เห็นด้วยในเรื่องนี้ พร้อมกับเสนอข้อพึงระวังอยู่นิดหน่อย เขาเป็นประธานของบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารขององค์กร Charity Navigator ซึ่งทำการประเมินและวิเคราะห์องค์การการกุศลต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มของเขาให้การประเมินค่าขององค์กร ALS นี้ให้อยู่ในระดับ 4 ดาว ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดของการประเมิน แต่คุณ Berger ยังกล่าวว่า ALS ต้องเผชิญหน้ากับการสร้างความสมดุลอย่างหนัก เพราะจะต้องใช้เงินทำการลงทุนเป็นอย่างดี แต่จะต้องไม่ให้เงินไปนอนอยู่เฉยๆ เป็นเวลานานจนเกินไป เขากล่าวว่า ผู้บริจาคเงินส่วนมาก ให้ความคาดหวังกันว่า เงินที่พวกเขามอบให้นั้น จะนำไปใช้กันอย่างทันท่วงที
“คุณจะเห็นสถานการณ์ในเรื่องขององค์กรการกุศลต่างๆ นั้น มีเงินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อพวกเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่เงินทองต่างๆ ไหลมาเทมาแบบนี้กัน และผู้บริจาคก็ต่างเริ่มเกิดอารมณ์ขุ่นเคืองกันเกี่ยวกับเรื่องนี้” คุณ Berger กล่าว “เนื่องจากว่า การคาดหวังของผู้บริจาคนั้นคือปัญหาที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ความต้องการก็ต้องเกิดขึ้น ณ บัดนี้ และทางองค์กรเองก็ควรที่จะก้าวออกมาและให้การบริการเพิ่มขึ้นให้เราเริ่มเห็นกันบ้างเสียที”
ตัวเขาและคนอื่นๆ จำได้ในเรื่องที่ว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับผู้บริจาคที่บันดาลโทสะขึ้นมา (Outraged Donors) เมื่อองค์กรกาชาดสหรัฐอเมริกาได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนนับล้านดอลล่าร์ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายโจมตีสถานที่ต่างๆ ในวันที่ 11 กันยายน (2544) และหลังจากนั้น ก็ปลีกเอาเงินจำนวนหนึ่งที่ได้รับจากการบริจาคมาปฎิบัติการให้กับเรื่องอื่นๆ แทน
คุณ Berger กล่าวว่า ไม่ว่าทางองค์กรจะทำการตัดสินใจอย่างไร ทางองค์กร ALS เองก็จะต้องแชร์แผนการต่างๆ ให้ทราบอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสาธารณชนจะได้ทราบว่า ควรจะคาดหวังอะไรกันได้บ้าง (Know what to expect)
คุณแพทริก รูนี่ย์ (Patrick Rooney) ซึ่งเป็นรองคณบดีของคณะการทำบุญสุนทานของมหาวิทยาลัยอินเดียน่า (Associate Dean at Indiana University’s School of Philanthropy) กล่าวว่า เขาคิดว่าผู้บริจาคเงินส่วนใหญ่เข้าใจว่า การบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับทางประสาท (Neurodegenerative Disease) อย่างเช่นโรค ALS นั้น คือการลงทุนในระยะยาว (A Long-Term Investment) แต่เขาเตือนว่า “ทุกๆ คนกำลังจ้องมองเรื่องนี้อยู่ ดังนั้น หนึ่งปีหลังจากวันนี้ ผู้คนก็จะเริ่มถามว่า ‘เงินเหล่านี้ไปไหน และทางสังคมจะได้รับอะไรกลับมากับการลงทุนในเรื่องนี้ไปแล้วบ้าง?’”
คุณ Newhouse กล่าวว่า เธอตระหนักทราบดีในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และเธอก็ได้รับคำแนะนำอย่างล้นหลาม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ดิฉันได้รับอีเมล์ จากทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่การเสนอแนะให้ ‘ใช้เงินด้วยวิธีนี้นะ’ จนไปถึงอีเมล์ที่กล่าวว่า ‘ใจเย็นๆ ทำด้วยวิธีที่ถูกต้องเถอะ’ จนถึงผู้คนที่กล่าวว่า ‘ฉันพบวิธีการรักษาโรค ALS ให้หายอย่างเด็ดขาดแล้วนะ เพียงแต่จ่ายเงินให้กับฉัน และฉันจะบอกวิธีรักษาโรคนี้ให้กับคุณเอง’ ใช่แล้วล่ะค่ะ ดิฉันได้รับเรื่องแบบนี้เข้ามาทั้งหมดเลย” คุณ Newhouse กล่าวในตอนท้ายสุด
อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่า สำหรับบุคคลที่ทำการบริหารองค์กรการกุศลนั้น มันยังต้องเผชิญกับปัญหาที่แย่กว่าเก่าๆ อยู่อีกเช่นกัน...
************************************************
ความคิดเห็นของผู้แปล:
(เชิญแชร์บทความได้ตามสบาย)
เวลานี้ เราจะเห็นเรื่องของการท้าราดน้ำแข็งหรือ Ice Bucket Challenge เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคนต่างประเทศหรือคนไทย ทุกๆ คนต่างเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่มีใครบ้างที่จะคิดถึงเรื่องปลีกย่อยแบบนี้
เรื่องแรกที่เห็นคือ เงินบริจาคต่างๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธามอบให้กับองค์กร สิ่งที่ดิฉันได้เห็นนั้น ไม่ใช่แต่เพียงเงินบริจาคเข้าองค์กรอย่างเดียว แต่ได้เห็นถึงความรับผิดชอบของผู้นำองค์กรว่า ควรจะนำเงินเหล่านี้ไปใช้อย่างไรบ้าง จะมีการ Layout แผนการต่างๆ ให้ประชาชนได้ทราบกันเป็นระยะๆ
องค์กร ALS เอง มีเครือข่ายสาขาอีกเกือบ 40 แห่งทั่วทั้งประเทศ ดังนั้น การประชุมต่างๆ จึงต้องมีความระมัดระวัง รวมทั้งขั้นตอนการอนุมัติทำการใช้จ่ายเงินจำนวนเหล่านี้
นอกจากนั้น ยังมีองค์กรอีกองค์กรหนึ่ง อย่างเช่น Charity Navigator ซึ่งทำการตรวจสอบความโปร่งใสขององค์กรการกุศลอีกด้วย และทำการประเมินว่าเป็นองค์กรการกุศลที่ควรต่อการยกย่องหรือไม่ (คือไม่ใช่องค์กรเถื่อน สร้างขึ้นมาขอบริจาคเงินกัน) พวกนี้จะตรวจสอบอีกระดับหนึ่ง ถึงความพึงพอใจของผู้บริจาค รวมไปถึงผลงานและกิจกรรมขององค์กรที่ได้รับเงินเหล่านั้นอีกด้วย
เราจะเห็นว่า องค์กรการกุศลใน USA นั้น จะถูกเพ่งเล็งจากหลายองค์กร ส่วนองค์กรใหญ่ๆ ก็คือ องค์กรเพื่อการตรวจสอบ, สรรพากร (Internal Revenue Service หรือ IRS) เนื่องจากองค์กรเหล่านี้จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพราะไม่ได้เป็นผู้ค้ากำไร และประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ สามารถขอร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เงินได้
การโกงเงินบริจาคมันถึงยาก เนื่องจากว่าถูกตรวจสอบเยอะ และผู้บริจาคเขาก็อยากเห็นผลงานด้วยว่า เอาเงินของเขาไปทำอะไรกันบ้าง
************************************************
ถ้าเราจะนำเรื่องการบริจาคในเรื่องของ ALS มาเทียบกับในประเทศไทย เราจะเห็นได้ว่า การบริจาคของดารา นักแสดง และผู้มีชื่อเสียงในสังคมไทย ต่างบริจาคเข้าไปในกองทุนชื่อว่า “กองทุน ALS” ตามที่อ่านข่าวประกอบนั้น “กองทุน ALS” นั้น เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันชื่อ สถาบันประสาทวิทยา หรือ Prasat Neurological Institute ของกระทรวงสาธารณสุข เพราะเห็นใช้ชื่อนี้อยู่
ที่แปลกนิดหน่อยคือ “กองทุน ALS” นี้ เพิ่งจัดตั้งขึ้นมา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2557 นี้เอง ไม่ใช่กองทุนดั้งเดิมแต่อย่างใด เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อรับต่อกระแสในเรื่อง ALS จริงๆ
แต่เรื่องการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสนั้น แทบจะทำไม่ได้เลยว่าเงินเหล่านี้ บริจาครับเข้ามาเท่าไรแล้ว และตัวผู้บริหาร จะออกมาแจ้งให้ผู้คนได้ทราบหรือไม่ว่า จะเอาเงินเหล่านี้ไปทำอะไรบ้าง (ตอนนี้ ข่าวออกมาว่ายอดการบริจาคเพื่อช่วยเหลือในเรื่องของ ALS ได้เพิ่มจำนวนขึ้นมามากกว่า 5 ล้านบาทแล้ว)
(แม้แต่เคสของพระองค์ภาเองก็ทรงรับการท้าทาย แต่การบริจาคนั้น ทรงมีพระประสงค์ให้ไปอยู่ที่มูลนิธิของโรงพยาบาลศิริราชแทน)
************************************************
อยากให้ประชาชนทั่วไป เริ่มเคลื่อนไหว จับตาการให้เงินบริจาคเหล่านี้กันบ้าง ไม่ใช่ว่า อยู่ๆ คิดว่า เอ้อ ให้แล้ว ถือว่า ทำบุญทำทานไป จากนั้นก็เลิกให้ความสนใจ เรื่องแบบนี่แหละคือต้นตอของการทุจริตอย่างใหญ่หลวง ด้วยการคิดว่า ทำบุญเสร็จ เขาจะเอาไปใช้อะไรก็เรื่องของเขา แต่ท่านทราบหรือเปล่าว่า มันจะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโรคนี้มากน้อยขนาดไหน?
บางท่านยังคิดว่า ไม่มีใครกล้าเอาเงินทำบุญไปทำอะไรแย่ๆ หรอก เพราะมันเป็นบาป จริงไหมคะ? อย่างนั้นก็ไม่มีการตรวจสอบใดๆ เกิดขึ้น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมเนียมของผู้รับ จะเอาไปใช้อะไรก็เชิญตามสบาย
องค์กรการกุศลทุกองค์กรมีค่าใช้จ่ายเช่นกัน เราเรียกเรื่องเหล่านี้ว่า Administrative Expenses หรือค่าใช้จ่ายต่อการบริหารกองทุน ถ้าสมมติว่าได้รับเงินบริจาคมา 5 ล้านบาท ท่านจะมี Administrative Expenses เท่าไร และมันจะหลุดไปถึงผู้ป่วยมากน้อยขนาดไหนบ้าง?
คนไทยโดยทั่วไป ก็คุ้นเคยกับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือเป็นการกุศล อย่างเช่นการบริจาคเข้าสภากาชาด บริจาคช่วยบุคคลผู้ประสบภัยพิบัติ ฯลฯ
แต่ท่านเคยเห็นองค์กรการกุศล (ส่วนใหญ่) ที่ไหนบ้าง ที่เอางบดุลหรือ Statement มาเปิดเผยให้เห็นถึงความโปร่งใสว่า นำไปใช้จ่ายอะไร ได้รับเงินบริจาคกันเท่าไร ส่วนใหญ่จะปิดบังทั้งหมด และที่แน่ใจคือ องค์กรการกุศลเหล่านี้ กลับมี Administrative Expenses สูงมากๆ และบางแห่งนั้น มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำไป ซึ่งก็สงสัยเหมือนกันว่า มันเป็นการกุศลประเภทไหนที่มีค่าใช้จ่ายสูงกันมากมาย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าไม่มีระบบการตรวจสอบหรือมีคนกล้าที่ขอให้มีการตรวจสอบนั่นเอง
************************************************
มันเหมือนกับการบริจาคเงินทั่วไป คือเงินหายไปไหน เอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง เราจะเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับประชาชนที่มีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งสิ้น (เราก็เห็นข่าวกันหลายครั้งที่การรับบริจาคทานในบางวัด ยังสามารถสะสมทรัพย์สินได้เป็นจำนวนมากมายหลายล้านๆ บาทไม่ใช่หรือ?)
ถ้าโยงเรื่องนี้มาในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้สนับสนุนฝ่าย กปปส. หรือสนับสนุนฝ่าย นปช. ก็ตาม เงินที่นำไปบริจาคเป็นจำนวนล้านๆ บาทนั้น สามารถถูกตรวจสอบได้หรือไม่? มีการนำมาใช้จ่ายกันอย่างไรบ้าง? มีใครกล้าชี้แจงในเรื่องนี้หรือเปล่า? นี่คือสิ่งที่เรามองไม่เห็นกันในประเทศไทย นั่นคือ เห็นหน้าก็ตอนแบมือขอ แต่พอได้ไปแล้ว ก็สาบสูญ ไม่ทราบกันเลยว่าเงินเดินทางไปไหน มันไปถึงวัตถุประสงค์ที่กล่าวไว้ในเรื่องการกุศลหรือเปล่า
เหมือนกับว่า บริจาคแล้ว เท่านั้นเท่านี้ เป็นข่าว ถ่ายรูปทำ Photo Ops เสร็จ ก็ไม่ต้องสนใจว่า เขาเอาเงินที่ท่านบริจาคไปทำอะไรกันบ้าง
************************************************
ดังนั้น ควรจะมารณรงค์กันถึงเรื่อง “ความโปร่งใส” (Transparency) เกี่ยวกับเงินบริจาคกัน คงจะดีไม่น้อย และสร้างมาตรฐานตัวอย่างให้เทียบเท่ากับระดับสากล ที่มีการตรวจสอบรายรับและรายจ่ายได้ จะอ้างว่าเป็นความลับ มันก็กระไรอยู่ เพราะเงินบริจาคไม่ควรที่จะมีเรื่องลับลมคมในแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะถ้ารับไปแล้ว ก็ควรจะแสดงว่าทำอะไรไปบ้าง จริงไหมคะ?
**** ความคิดเห็นเพิ่มเติม:
ถ้าจะลอกวิธีการของทาง USA เขามาใช้ในเรื่องการกุศล ก็ควรจะลอกระบบทั้งหมดมาด้วย ที่มีการตรวจสอบความโปร่งใส บริจาคได้รับเท่าไร มีการวางแผนจะใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค ALS จะได้รับผลจากเรื่องนี้มากน้อยสักเท่าไร
ที่ดิฉันสงสัยมากที่สุดคือ กองทุน ALS ของประเทศไทยที่เพิ่งจัดตั้งกันนั้น มีเพื่อรับการบริจาคโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ?
ถ้า ALS เป็นโรคที่ร้ายแรงอย่างที่โพสต์ๆ กันในหลายๆ เวป ทางประเทศไทยก็ควรมีกองทุนเกี่ยวกับภารกิจในเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาก่อตั้งขึ้น เพื่อกระทำการตามกระแส Ice Bucket Challenge เลย...
มันดูเหมือนกับสร้างขึ้นมาเพื่อ "รับเงินบริจาค" โดยเฉพาะ จากกระแสที่กำลังแรงอยู่ในเวลานี้...
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ถ้าสมมติว่ามีการเอาเงินบริจาคไปใช้อย่างผิดเป้าหมายหรือผิดวัตถุประสงค์เบื้องต้นซึ่งเกี่ยวกับ ALS ตามที่ผู้มีจิตศรัทธาเขาบริจาคเข้ามานั้น ผู้บริจาคสามารถกระทำการอะไรได้บ้าง? เพราะถ้าปล่อยให้เลยตามเลย มันก็จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างไม่รู้จบแน่นอนค่ะ
หมายเหตุ Doungchampa Spencer Isenberg แปลจาก Life After Ice Buckets: ALS Group Faces $94 Million Challenge
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ