ระบบโซตัสคือระบบการรับน้องแบบเข้มข้นโดยยึดเนื้อหาสำคัญ 5 ประการที่ประกอบเป็นระบบโซตัส (SOTUS) คือ การเคารพผู้อาวุโส (Seniority : S) การปฏิบัติตามระเบียบวินัย (Order : O) การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี (Tradition : T) การมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว (Unity : U) และการมีน้ำใจ (Spirit : S)
ระบบโซตัสมีจุดกำเนิดมาจากระบบอาวุโสในโรงเรียนกินนอนของประเทศอังกฤษ ที่เรียกว่า Fagging system ต่อมาระบบนี้ก็ถูกนำไปใช้ในสถาบันการศึกษาในประเทศอเมริกาทั้งสถาบันการศึกษาสายสังคม สายทหาร และสายเกษตรศาสตร์ โดยระบบในอเมริการุ่งเรืองบนฐานความคิดที่ต้องการควบคุมนักศึกษาจากประเทศโลกที่สามที่ถูกจัดให้เป็นประเทศด้อยพัฒนาที่เข้ามาเรียนในอเมริกา ต่อมาเมื่อเรียนจบบรรดานักศึกษาเหล่านั้นก็นำระบบนี้ไปใช้ในประเทศของตน เช่น ระบบโซตัสในฟิลิปปินส์ เป็นต้น
สำหรับระบบโซตัสในประเทศไทย ได้มีการนำระบบนี้มาใช้สองระลอกก็คือ ระลอกแรก ระบบโซตัสได้ถูกนำมาใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคที่มีการจัดตั้งโรงเรียนระดับมัธยมตามหัวเมืองใหญ่ๆ โรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนราชวิทยาลัย และโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน ปัจจุบันโรงเรียนและสถาบันเหล่านี้ก็ยังสืบทอดระบบนี้อย่างเข้มเข้น
ระลอกที่สอง เป็นระลอกที่ไทยก้าวเข้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและมีการส่งนักศึกษาไทยไปเรียนที่อเมริกาและฟิลิปปินส์ เมื่อเรียนจบก็มาเป็นอาจารย์สอนและได้นำเอาระบบมาใช้ สถาบันการศึกษาในกลุ่มนี้ก็คือ กลุ่มที่สอนทางด้านเกษตรศาสตร์ ซึ่งการรับน้องจะเข้มข้นมาก
เมื่อเกิดปัญหาจากการรับน้องแบบเข้มข้น ผู้ที่ปกป้องระบบโซตัสอาจจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกก็ยังคงยืนยันว่าวิธีการที่เข้มข้นจะบรรลุเป้าหมายที่ถือว่าเป็นสิ่งดีงามทั้งห้าประการที่เป็นหัวใจของ SOTUS ได้ ขณะที่กลุ่มที่สอง ก็จะอ้างว่า ระบบโซตัสมีผลดีที่ทำให้นักศึกษาใหม่เกิดสิ่งดีงามทั้งห้าประการนั่นคือ SOTUS และหากจะผิดพลาดมันก็มาจากผู้ปฏิบัติ และกลุ่มนี้ก็อาจจะยอมรับข้อเสนอว่าอาจมีวิธีการอื่นในการรับน้อง
ขณะที่กลุ่มที่ตั้งคำถามกับระบบโซตัส กลับมีคำถามไม่เพียงแต่วิธีการของการรับน้องที่เข้มข้นและรุนแรงเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามว่าสิ่งดีงามทั้งห้าประการที่ต้องการให้เกิดนั้น เป็นสิ่งดีงามจริงหรือไม่ หรือสิ่งดีงามทั้งห้าประการมีความจำเป็นจริงหรือไม่ คำถามและข้อวิพากษ์ต่อสิ่งดีงามที่ระบบโซตัสเทิดทูนนั้น สามารถค้นหาได้ ซึ่งผมจะไม่กล่าวซ้ำอีก
สิ่งที่ผมต้องการชี้ในทีนี้ก็คือ แม้ว่าหลายสถาบันมีวิธีการรับน้องเข้มข้นน้อยลง แต่อีกด้านหนึ่ง ระบบการรับน้องแบบข้มข้นได้ขยายไปยังระดับโรงเรียนมัธยม และการรับน้องหลายที่มีความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก หลายสถาบันการศึกษา แม้ว่ามีการห้ามรับน้องที่รุนแรง แต่รุ่นพี่ก็หาวิธีการหลบหลีก เช่น การนำน้องไปรับนอกสถานที่ มีการดื่มสุราระหว่างการรับน้อง การรับน้องกลางคืน รวมไปถึงการบังคับให้น้องปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความรุนแรงไม่แตกต่างไปจากการใช้กำลัง เช่น การให้ห้อยป้ายชื่อขนาดใหญ่ทั้งในระหว่างมาเรียนหรือแม้แต่หลังเลิกเรียน หากออกจากหอไปหาอาหารรับประทานก็ต้องห้อยป้ายชื่อขนาดใหญ่ หากไม่ปฏิบัติตามก็ถูกลงโทษ และแทบทุกปีจะมีข่าวการรับน้องโหด รวมไปถึงรุ่นน้องที่ถูกรับเสียชีวิตก็มี
ในปัจจุบัน บางสถาบันการศึกษา รุ่นพี่มีการฝึกกำลังราวกับฝึกทหาร และใช้วิธีการนี้ในการรับน้องแบบทหาร ซึ่งวิธีการนี้นำไปสู่บ่อเกิดของ “อำนาจนิยม” และอำนาจนิยมนี้ก็จะปฏิบัติการในสมองของรุ่นน้อง และเมื่อพวกเขาขยับไปเป็นรุ่นพี่ พวกเขาก็จะกลับมาผลิตซ้ำอุดมการณ์นี้ แม้ว่าการกระทำเหล่านี้ล้วนแต่ผิดกฎหมาย เป็นการคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคล และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
คำถามที่ผมอยากถามทิ้งท้ายก็คือ ในยุคปัจจุบัน นอกจากประเทศไทยแล้ว มีประเทศไหนบ้างในโลกนี้ที่วงการศึกษายังมีการรับน้องใหม่จนนักศึกษาถึงแก่ความตาย ??? และเมื่อมีนักศึกษาใหม่เสียชีวิตจากระบบนี้แทบทุกปี แต่ทำไมระบบนี้มันยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครทำอะไร เสมือนว่ามันมีความชอบธรรม???
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook ของผู้เขียน วันที่ 1 กันยายน 2557
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ