ในกระบวนการผลิตกระดาษ 1 ตันต้องใช้ต้นไม้มากถึง 17 ต้น ใช้กระแสไฟฟ้ามากถึง 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำถึง 31,500 ลิตร และปล่อยคลอรีนที่ใช้ในการฟอกกระดาษเป็นของเสียกว่า 7 กิโลกรัม นั่นหมายความว่า ในการสนองตอบความต้องการใช้กระดาษของคนไทยให้เพียงพอ เราต้องตัดต้นไม้ถึงปีละประมาณ 55 ล้านต้น
สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ชั่วโมง จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.71 กิโลกรัมและต้นไม้ 1 ต้นดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 15 กิโลกรัม ทว่าในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนสามารถช่วยกันลดการตัดต้นไม้ รวมทั้งการใช้น้ำและพลังงานไฟฟ้าในการผลิตกระดาษลงได้ ด้วยการนำกระดาษที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นกระดาษใหม่ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งเป็นการช่วยลดปัญาหาโลกร้อนไปในตัว รวมทั้งช่วยลดปริมาณขยะในสำนักงาน บ้านเรือน และกรุงเทพมหานครลงด้วย
ในบรรดาขยะที่คนไทยเราทิ้งกันทุกวันนี้เฉลี่ยคนละ 1 กิโลกัรมต่อวัน คิดขยะทั่วประเทศวันละ 40,000 ตัน หรือปีละ 14.6 ล้านตัน เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีขยะเกือบ 10,000 ตันต่อวัน แต่สำนักงานกรุงเทพมหานครจัดเก็บได้ไม่หมด คงเหลือตกค้างตามที่ต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยและเป็นมลภาวะต่อสภาพแวดล้อม
ทั้งนี้ ในกองขยะทั้วไป เกือบครึ่งหนึ่งเป็นขยะที่มีราคาสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งแยกเป็นกระดาษ 19% พลาสติก 13% แล้ว 8% โลหะ 5% จะเห็นว่าขยะกระดาษ มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็นขยะที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ประมาณ 2.47 ล้านตัน ซึ่งเศษกระดาษเหล่านี้ ควรถูกรวบรวมป้อนให้แก่โรงงานผลิตกระดาษ เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษรีไซเคิล ซึ่งโรงงานผลิตกระดาษมีความต้องการเศษกระดาษปีละ 2.5 ล้านตัน แต่เรากลับสามารถหาเศษกระดาษภายในประเทศป้อนโรงงานได้ไม่ถึงร้อยละ 50 ที่เหลือต้องนำเข้าเศษกระดาษจากต่างประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่ประเทศไทยต้องนำเข้าเศษกระดาษกว่าปีละ 1 ล้านตัน ทั้งๆ ที่มีขยะกระดาษภายในประเทศถึงปีละ 2.7 ล้านตัน
ดังนั้นทางที่ดีที่จะทำให้มีการนำกระดาษใช้แล้วมาหมุนเวียนผลิตมาใช้ใหม่ (Recycle) มีปริมาณมากขึ้นก็คือ การรวบรวมเศษกระดาษใช้แล้วในสำนักงานและบ้านเรือน โดยแยกแยะเศษกระดาษเหล่านี้ออกจากขยะชนิดอื่นเพื่อสะดวกในการจัดเก็บและนำกลับไปรีไซเคิล เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในทาง เศรษกิจ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ
การผลิต
การผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ ปี 2556 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษลดลงร้อยละ 8.92 เมื่อเทียบกับปกอน (ตารางที่ 1) โดยในส่วนของกระดาษ ได้แก่กระดาษแข็งและกระดาษคราฟท มีการผลิตเมื่อเทียบกับปกอนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.87 และ 1.66 ตามลําดับ ซึ่งยังเติบโตอย่างตอเนื่องตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑและสิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุหีบห่อ ประกอบกับความต้องการใช้ในภาคการผลิตที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเครื่องสําอาง สําหรับกระดาษพิมพ์เขียนและกระดาษลูกฟูก มีการผลิตลดลงร้อยละ 0.08 และ 5.15 ตามลําดับ เนื่องจากมีคําสั่งซื้อลดลง ซึ่งกระดาษส่วนใหญ่จะนําไปผลิตในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเพื่อรองรับความตองการของผู้บริโภคซึ่งอยูในภาวะชะลอตัวจากหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นในปนี้ประกอบกับกระดาษพิมพเขียนไดรับผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีส่งผลใหผู้ประกอบการไม่สามารถแขงขันดานราคากับกระดาษพิมพ์เขียนที่นําเขาจากประเทศจีนและอินโดนีเซียซึ่งมีตนทุนที่ต่ำกว่าไดซึ่งผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นไปผลิตสินคาที่มีนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มแทนการนําไปผลิตกระดาษพิมพ์เขียน
การค้าระหว่างประเทศ
การส่งออก
1. เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ป 2556 มีมูลคาการส่งออก 136.94 ลานเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นรอยละ 84.03 เมื่อเปรียบเทียบกับปกอน (ตารางที่ 2) เป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดตางๆ ขยายตัวจากการส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดจําหนายต่อและนําไปผลิตสินคาที่ผลิตจากเยื่อกระดาษตามการใชงาน และเติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อาทิจีน ฝรั่งเศส อินเดีย และประเทศในกลุมอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และฟลิปปนส์ โดยเฉพาะประเทศคูคาหลักคือจีน จะมีอิทธิพลตอมูลคาการส่งออกของไทยสูง เพราะมีความต้องการใชในปริมาณที่มากกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมีสัดสวนการนําเข้าเยื่อกระดาษและเศษกระดาษจากไทยกว่ารอยละ 53 ของการส่งออกเยื่อกระดาษและเศษกระดาษทั้งหมด ดังนั้น หากบางช่วงจีนไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศได้ ก็จะมีการนําเข้าจากไทยเพิ่มมากกวาปกติ
2. กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ปี 2556 มีมูลค่าการส่งออก 1,613.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4,29 เมื่อเทียบกับปก่อน (ตารางที่ 2) เนื่องจากตลาดสงออกกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษที่สําคัญโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย มีการนําเขากระดาษพิมพ์เขียนเพิ่มขึ้น ซึ่งกระดาษชนิดนี้ประเทศไทยมีสัดสวนของมูลค่าการสงออกมากที่สุดเมื่อเทียบกับกระดาษชนิดอื่นๆ สูงถึงร้อยละ 38.71 ของมูลค่าการส่งออกกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รองลงมาคือ กระดาษชําระ กระดาษแข็ง บรรจุภัณฑ์ กระดาษ (หีบ กลอง ซองฯ) กระดาษและผลิตภัณฑกระดาษอื่น ๆ และกระดาษคราฟท์ คิดเป็นสัดส่วนรอยละ 21.42 16.70 11.14 10.33 และ 1.70 ตามลําดับ
3. หนังสือและสิ่งพิมพ์ ปี 2556 มีมูลคาการส่งออก 96.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นรอยละ 6.22 เมื่อเทียบกับปีก่อน (ตารางที่ 2) ส่วนหนึ่งเปนผลจากการส่งออกหนังสือและสิ่งพิมพ์ของไทยไปตลาดสิงคโปรซึ่งเปนตลาดหลักของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีตลาดอินโดนีเซีย ญี่ปุน และเมียนมารที่มีการนําเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ร้อยละ 17.86 39.16 และ 8.47 ตามลําดับ
การนำเข้า
1. เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ปี 2556 มีมูลคาการนําเข้า 609.87 ลานเหรียญสหรัฐฯ ลดลงรอยละ 10.78 เมื่อเทียบกับปกอน เนื่องจากความต้องการใชภายในประเทศเพื่อผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์กระดาษลดลงค่อนข้างมาก ทั้งนี้ การนําเข้าเยื่อกระดาษและเศษกระดาษส่วนใหญ่จะเป็นการนําเข้าในกลุ่มสินค้าที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตได้ อาทิ เยื่อกระดาษใยยาวและกระดาษที่มีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศแคนาดา สหรัฐเมริกา ญี่ปุน แอฟริกาใต้ ชิลีและ สวีเดน ประกอบกับการนําเข้ากระดาษบางประเภท ได้แก่ กระดาษพิมพ์เขียน ซึ่งมีราคาต่ำกว่ากระดาษที่ผลิตได้ในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต คือเยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ลดลง
2. กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ปี 2556 มีมูลค่าการนำเข้า 1,542.76 ลานเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.50 เมื่อเทียบกับปีก่อน (ตารางที่ 3) โดยกระดาษและกระดาษแข็งมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุด ร้อยละ 55.96 ของการนำเข้ากระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รองลงมา คือ กระดาษพิมพเขียน กระดาษและผลิตภัณฑกระดาษอื่น ๆ กระดาษคราฟท์และกระดาษหนังสือพิมพ์มีสัดส่วน ร้อยละ 16.47 15.96 7.27 และ 4.33 ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม มีการนําเข้ากระดาษพิมพ์เขียนจากประเทศจีนจํานวนมากมาใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เนื่องจากมีราคาถูกกว่าภายในประเทศ
3. สิ่งพิมพ์ ปี 2556 มีมูลค่าการนำเขา 252.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.95 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการนําเข้าสิ่งพิมพโฆษณาทางการค้า แค็ตตาล็อกทางการค้า รายการหนังสือและสิ่งตีพิมพ์ทางการศึกษา วิชาการ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรม โดยตลาดนําเข้าหลักได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุน จีน และสหราชอาณาจักร มีสัดส่วนร้อยละ 22.09 18.86 12.86 และ 9.44 ตามลําดับ
นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 โดยยกเวนอากรขาเข้าปจจัยการผลิตของอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ จํานวน 6 ประเภทย่อยได้แก่ ผลิตภัณฑและของที่ทําด้วยสิ่งทอจํานวน 3 ประเภทย่อย คือ ประเภทย่อย 5911.10.00 5911.31.00 และ 5911.32.00 และผลิตภัณฑ์เซรามิกสําหรับใชตามหองปฏิบัติการใช้ในทางเคมีหรือในทางเทคนิคอยางอื่นจํานวน 3 ประเภทย่อย คือ ประเภทย่อย 6909.11.00 6909.12.00 และ 6909.19.00 เพื่อเปนการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ ซึ่งจะไม่มีผลกระทบกับผูประกอบการผลิตในประเทศเพื่อลดตนทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผูประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศที่ใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตดังกลาวในการผลิตสินค้า ทั้งนี้ การดําเนินการดังกล่าวภาครัฐจะสูญเสียรายไดจากภาษีศุลกากรแต่เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชนในภาพรวมที่ประเทศจะไดรับแล้วจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น
สรุป
ภาวะการผลิต ป 2556 เมื่อเทียบกับปกอน ปรับตัวลดลงในกลุมเยื่อกระดาษ กระดาษพิมพเขียน และกระดาษลูกฟูก แตมีการผลิตเพิ่มขึ้น ในกลุมกระดาษแข็ง และกระดาษคราฟท สวนใหญจะขยายตัวตามปริมาณความตองการใชในอุตสาหกรรมตอเนื่อง ยกเวนกระดาษพิมพเขียน ซึ่งไดรับผลกระทบจากการนําเขากระดาษพิมพเขียนจากจีน ที่มีราคาสินคาต่ำกวาราคาสินคาที่ผลิตไดภายในประเทศ ประกอบกับราคาตนทุนวัตถุดิบ (ยูคาลิปตัส) ปรับตัวสูงขึ้นจากการที่เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่มีผลตอบแทนสูงกวา สงผลใหผูประกอบการในประเทศลดปริมาณการผลิตลง
สวนการสงออกเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับชวงเดียวกันของปกอน เปนผลจากคําสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากตลาดหลักไดแกจีน ฝรั่งเศส เวียดนาม เกาหลีใตและอินโดนีเซียซึ่งผูประกอบการไทยสามารถรักษาฐานการสงออกไปยังประเทศดังกลาวที่มีแนวโนมการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยางตอเนื่องอยางไรก็ตาม ยังคงมีปจจัยเสี่ยงจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ราคาวัตถุดิบ ตลอดจนการปรับคาจางแรงงานตั้งแตตนปที่ผานมาไดสงผลกระทบตอการลงทุนและตนทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น สงผลใหการสงออกโดยเฉพาะกระดาษและผลิตภัณฑกระดาษอื่น ๆ มีทิศทางปรับตัวลดลง
แนวโนม
ภาวะอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพป 2557 คาดวา การผลิตทั้งเยื่อกระดาษและกระดาษโดยรวม จะขยายตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจและมีทิศทางเดียวกันกับป 2556 สําหรับการสงออกเยื่อกระดาษและสิ่งพิมพมีแนวโนมขยายตัวแมวาจะมีการใชสื่อดิจิทัลอยางกวางขวาง แตกระดาษยังคงเปนที่ตองการใชในชีวิตประจําวันของผูบริโภค โดยเฉพาะบรรจุภัณฑเพื่อการบริโภคและอุปโภค ซึ่งผูประกอบการจะตองมีการวิจัยพัฒนานวัตกรรมและออกแบบใหม ๆ ใหสอดรับกับพฤติกรรมความตองการของผูบริโภคและกระแสอนุรักษดานสิ่งแวดลอมทั้งในและตางประเทศ
ที่มา
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
โครงการกระดาษเพื่อต้นไม้ โดย มูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา
ขอบคุณรูปภาพจาก https://stanglibrary.files.wordpress.com/
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ