1 ตำบล 15 ล้าน 1 ประเทศสะพัดแสนล้าน
‘ศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาจากการพนัน’ เปิดเผยข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมาว่า ผลสำรวจสถานการณ์การพนันในระดับชุมชนทั่วประเทศ พบว่าในระดับ 1 ตำบลโดยเฉลี่ยต่อปี มีวงเงินการพนันหวยใต้ดินประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2553 ที่พบว่าวงเงินหมุนเวียนของหวยใต้ดินมีสูงถึง 102,000 ล้านบาท ต่อปี นอกจากนี้ประเด็นอายุของนักพนันนั้น พบว่ามีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ โดยมีผู้เล่นพนันอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวนถึงร้อยละ 20
นอกเหนือจาก ‘หวยใต้ดิน’ ที่ถือว่าเป็นการพนันยอดฮิตของคนไทยที่มีในทุกจังหวัดแล้ว ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย การพนันกลายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมที่เรียกว่า ‘การพนันพื้นบ้าน’ เช่น ไก่ชน การแข่งบั้งไฟ การแข่งเรือ การแข่งวัวชน การแข่งดอกไม้ไฟ รวมทั้งการเล่นการพนันทั่ว ๆ ไป เช่น ไฮโล, ลูกเต๋า, น้ำเต้า ปู ปลา, กำถั่ว ฯลฯ ในยามว่างจากการทำงานของคนในชนบท รวมทั้งวัฒนธรรมการเล่นพนันในงานศพ ของทางภาคเหนือและตะวันออก เฉียงเหนือที่ส่วนใหญ่จะจัดงานศพที่บ้าน จึงเห็นได้ว่าการพนันเป็นสิ่งใกล้ตัวและอยู่ในวิถีชีวิตของคนในชุมชนเป็นอย่างยิ่ง (ดูเพิ่มเติมประเด็น ‘การพนันในงานศพ’ ได้ในรายงานของ TCIJ [1] [2])
จากการศึกษาของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจการเล่นการพนันชุมชน ในเขตจังหวัดภาคอีสาน พบลักษณะการเล่นพนันเม็ดเงินที่มีความน่าสนใจดังนี้
หวยใต้ดิน/หวยลาว มีผู้เล่นทุกกลุ่มอาชีพ ทุกเพศอายุระหว่าง 10-70 ปี เล่นในชุมชนชนบท วงเงินแทงพนันตั้งแต่ 10-100 บาท คน/งวด
บ่อนไพ่ มีกลุ่มผู้เล่นคืออาชีพค้าขาย, ข้าราชการ และพนักงานประจำ ทุกเพศอายุระหว่าง 30-45 ปี ถ้าเล่นกันในบ่อนขนาดเล็ก วงเงินเล่นประมาณ 400-20,000 บาท/คน ส่วนบ่อนขนาดใหญ่ วงเงินเล่นสูงกว่า 2,000 บาท/คน
ไฮโลงานศพ (ในชุมชนชนบท) กลุ่มผู้เล่นคือชาวบ้านที่มาร่วมงานศพ ทุกเพศอายุระหว่าง 5-70 ปี วงเงิน 10,000-15,000 บาท/วง/คืน แต่ละคืนจะมี 3-4 วง
ชนไก่ กลุ่มผู้เล่นคืออาชีพค้าขาย, ข้าราชการ และรับจ้าง อายุระหว่าง 25-45 ปี ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย คู่เด่นเงินเดิมพัน 40,000-60,000 บาท ส่วนคู่ทั่วไปเงินเดิมพัน ต่ำกว่า 20,000 บาท
มวยตู้ มีกลุ่มผู้เล่นเป็นชาวบ้านทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุระหว่าง 30-70 ปี ส่วนใหญ่เล่นรวม 1,000 บาท/คน/วัน
ทั้งนี้ การพนันบั้งไฟ วัวชน และไก่ชน ซึ่งเป็นการพนันพื้นถิ่นที่สำคัญของไทย มีเม็ดเงินหมุนเวียนในหลักร้อยล้านพันล้านเลยทีเดียว โดยการเล่นพนันในงานบุญบั้งไฟทั้งภาคอีสานในรอบหนึ่งปีอยู่ที่ 56,529,400,000 บาท ส่วนการเล่นพนันวัวชนในภาคใต้นั้นมีนักพนันกว่า 205,000 คน และใน 1 ปีมีเงินพนันหมุนเวียนถึง 71,769,600,000 บาท ส่วนการพนันไก่ชน ซึ่งเป็นการพนันพื้นถิ่นที่กระจายในหลายพื้นที่ก็มีเงินหมุนเวียนตั้งแต่หลักล้านถึงร้อยล้านเลยทีเดียว (อ่านเพิ่มเติมรายงาน TCIJ: ตะลึงเงิน'พนันพื้นบ้าน'สะพัดนับแสนล้าน ทั้งไก่ชนเหนือ-วัวชนปักษ์ใต้-บั้งไฟอีสาน ชี้เลิกยาก-ขุมประโยชน์การเมือง-อิทธิพล)
‘จับฉลาก’ และ ‘พนันบอลออนไลน์’ มาแรง
จากการสำรวจชุมชนชนบทกึ่งเมืองใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ช่วงระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2558 โดย TCIJ พบการพนันยอดฮิตนอกจากหวยใต้ดินแล้วคือการ ‘จับฉลาก’ โดยเฉพาะการจับฉลากนั้นมีให้เห็นได้ตามร้านค้าต่าง ๆทั้งร้านขายของชำ ร้านก๋วยเตี๋ยว นอกจากนี้แล้วการเล่น ‘พนันฟุตบอลออนไลน์’ ยังระบาดเข้าสู่ชุมชนด้วย
‘จับฉลาก’ การพนันที่แพร่หลายในชุมชน ส่วนใหญ่มีอยู่ตามร้านขายของชำ มีทั้งแบบจับฉลากเอาของรางวัลล่อใจต่าง ๆ ส่วนใหญ่รางวัลใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ซ้าย) และการจับฉลากจากตู้กดที่มีเงินเป็นรางวัล (ขวา)
แม้จะมีการระบุความผิดไว้ชัดเจนสำหรับการ "จับสลากโดยวิธีใด ๆ" ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 อยู่ใน "บัญชี ข. หมายเลข 9” ซึ่งการจะจัดให้มีการเล่นการพนันดังกล่าวได้ จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน คือ นายอำเภอ ซึ่งได้รับอนุมัติให้ออกใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้ว ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ข้อ 4 ค. (6) และคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 25/2549 ลงวันที่ 13 มกราคม 2549 ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย มีนโยบายอนุมัติให้มีการเล่นการพนันประเภทดังกล่าว เฉพาะกรณีที่จัดขึ้นเนื่องในงานกาชาดหรืองานประจำปีของจังหวัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้กาชาดไว้ใช้จ่ายในกิจการสาธารณกุศลต่างๆ และสถานที่เล่นจะต้องไม่อยู่ในบริเวณโรงเรียนหรือวัด และห้ามให้รางวัลเป็นเงินสดโดยเด็ดขาด ดังนั้น หากผู้ใดจัดให้มีการเล่นการพนันจับสลากดังกล่าว โดยมิได้รับอนุญาตจากนายอำเภอ ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดก่อน ผู้นั้นมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 แต่ปัจจุบันยังพบมีการตั้งแผงฉลากเสี่ยงโชคอย่างเปิดเผยตามร้านค้าทั่วไป
ร้านค้าที่ให้สัมภาษณ์กับ TCIJ ระบุว่าแผงฉลากเสี่ยงโชคนี้จะขายฉลากขั้นต่ำใบละ 3 บาท (อาจจะมีโปรโมชั่นให้นักพนันเช่น 7 ใบ 20 บาท) หรือมีมูลค่าสูงขึ้นไปเป็น 5 บาท 10 บาท 20 บาท แล้วแต่มูลค่าของรางวัลในแผงนั้น ซึ่งมักจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ รวมทั้งเงินและสร้อยทองคำเป็นรางวัลของแผงฉลากนั้น ๆ รางวัลต่ำสุดคือเครื่องดื่มบำรุงกำลังขวดละ 10 บาท ส่วนรางวัลสูงสุดเป็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท สุราต่างประเทศราคา 800-1,200 บาท หรือทองคำ 1 สลึง ซึ่งส่วนใหญ่ทุกแผงจะมีรางวัลออกหมดเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อถือให้กับลูกค้า เพราะลูกค้ามักจะบอกต่อกันปากต่อปาก หากแผงฉลากของร้านไหนเจ้าไหนรางวัลออกไม่หมด และลูกค้าที่จับฉลากได้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น หากไม่ต้องการก็จะสามารถขายคืนให้กับร้านค้าได้ แต่ราคาจะต่ำกว่าการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ๆ จากตลาด จากนั้นร้านค้าจะนำมาขายเองเต็มราคา หรือขายคืนให้กับเจ้าของแผง เป็นต้น
จากการสำรวจของ TCIJ พบว่าฉลากชิงโชค 1 แผงนั้นจะมีใบฉลาก 2,880 ใบ และ 3,200 ใบ (ขายใบละ 3 บาท) โดยเจ้าของแผงจะนำแผงฉลากมาตั้งให้ฟรีแล้วให้เปอร์เซ็นต์แก่ร้านค้าแทน (จากการสำรวจ พบให้ 20 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย) ร้านค้าไหนทำยอดให้เจ้าของแผงได้มากก็มักจะมีของตอบแทนพิเศษให้อีกต่างหาก เช่นทองคำ 1 สลึงต่อการทำยอดแผงฉลาก 100 แผง เป็นต้น ส่วนในเรื่องกฎหมายนั้น เจ้าของร้านค้าไม่ได้กังวลนัก เนื่องจากเจ้าของแผงจะเป็นคนจัดการให้หมด แล้วแต่สถานการณ์ถ้าช่วงไหนที่ตำรวจกวดขัน เจ้าของแผงก็จะแจ้งให้ร้านค้าว่าจะสามารถตั้งหน้าร้านได้ช่วงไหน เก็บแผงช่วงไหน เพราะนอกจากการขายหรือให้เปอร์เซ็นต์แก่ร้านค้าแล้ว เจ้าของแผงก็ยังให้ข้อมูลสถานการณ์ความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐตลอดเวลา ทั้งนี้พบว่าเจ้าของแผงส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบอยู่แล้ว
ส่วนการพนันต่อเนื่องจากแผงฉลากชิงโชคนี้ ก็คือการที่นักพนันวางเงินพนันเดิมพันกันเองในการจับฉลาก โดยเลือกกติกาว่าตัวเลขใครจะมากกว่าหรือน้อยกว่ากันในการเดิมพัน
จากการสอบถามร้านค้าถึงเหตุผลที่นำแผงฉลากเสี่ยงโชคมาตั้งขายฉลากหน้าร้าน พบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะร้านค้าต้องการรายได้เสริมเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จะต้องหา “สินค้าที่ขายได้แน่นอนและทำกำไรดี” มาขายเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้า และแผงฉลากเสี่ยงโชคคือสินค้าที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ออนไลน์ในมือ พนันได้ทุกเมื่อ
อุปกรณ์สื่อสารและสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ถูกลง เป็นปัจจัยเร่งให้การพนันฟุตบอลออนไลน์รุกคืบสู่ชุมชน
นอกจากนี้ ยังมีการพนันที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสื่อสารที่เข้ามาในชุมชุน นั่นก็คือการเล่น ‘พนันฟุตบอลออนไลน์’ ที่เมื่อก่อนนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษา คนรุ่นใหม่หรือพนักงานออฟฟิศในเมืองใหญ่เท่านั้น (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพนันบอล ในรายงานชุด 'เจาะลึกพนันบอล' ของ TCIJ [1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8])
นักพนันฟุตบอลออนไลน์ในชุมชนรายหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตชนบทกึ่งเมืองใกล้กับ อ.เมือง ของ จ.เชียงใหม่ ระบุกับ TCIJ ถึงรายละเอียดการเล่นพนันฟุตบอลออนไลน์ ที่สามารถเล่นผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ซึ่งเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ทุกคนแทบจะมีหมดแล้ว รวมถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่มาพร้อมกับบริการโทรศัพท์มือถือด้วยเช่นกัน โดยจะเป็นการเล่นผ่านเว็บไซต์ แต่ทั้งนี้ต้องให้ ‘สายส่ง’ (นายหน้าตัวกลางทำหน้าที่คล้าย ๆ คนเดินโพยหวยใต้ดิน สายส่งคนนี้ทำงานที่เดียวกันกับผู้ให้สัมภาษณ์) เป็นคนออกยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดให้ โดย เครดิต สถิติการแทง และเม็ดเงินทั้งหมดจะถูกบันทึกในเว็บไซต์ แต่การรับ-จ่ายเงินนั้นจะจ่ายเป็นเงินสดผ่านสายส่งแทนการโอนเงินผ่านธนาคาร ซึ่งจะมีการตัดยอดทุกสัปดาห์ในวันอังคาร ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักพนัน เพราะฟุตบอลจะแข่งขันกันส่วนใหญ่ในวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนใหญ่นักพนันที่เสียจากวันเสาร์และอาทิตย์มักจะมาแก้มือในวันจันทร์แต่จำนวนคู่การแข่งขันจะน้อยกว่า
ทั้งนี้เมื่อสายส่งออกยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดให้กับนักพนัน ก็จะมีเครดิตเริ่มต้นให้ 5,000 บาท (เว็บพนันบอลที่ผู้เล่นพนันให้สัมภาษณ์กับ TCIJ) สามารถเพิ่มเครดิตวงเงินการเล่นของตนเองได้หากมีเพดานการเล่นสูงขึ้นไปได้ถึงหลักแสน ถ้ามีวินัยในการจ่ายหนี้ โดยสายส่งจะเป็นคนพิจารณาเพิ่มเครดิตให้ ส่วนนักพนันที่เล่นจนหมดเครดิตแรกเริ่มแต่ไม่จ่ายเงินให้สายส่งนั้นก็จะถูกแบล็คลิสต์ไม่ให้เล่นอีก นักพนันที่ถูกแบล็คลิสต์นี้ส่วนใหญ่จึงไปขอแทงร่วมกับกับนักพนันรายอื่นแทน
การพนันฟุตบอลออนไลน์ มีตัวเลือกวิธีการเล่นมากกว่าการเล่นจากโต๊ะบอลแทงกับโพยกระดาษ ที่ต้องแทงก่อนการแข่งขัน ส่วนการเล่นพนันฟุตบอลออนไลน์เป็นแบบ ‘เรียลไทม์’ นอกจากผลแพ้ชนะแล้ว ยังมีการทายผลประตูสูง-ต่ำ ทายผลยิงประตูช่วงเวลาไหน การเล่นเฉพาะครึ่งแรกหรือครึ่งหลัง หรือแม้แต่การเล่นแค่ทายจำนวนลูกเตะมุม เป็นต้น
“ฟุตบอลมีแทบทุกวัน ถ้าอยู่กับมันตลอดเวลาจะได้เปรียบ เพราะเราสามารถออกตัว หรือแทงเป็นครึ่งได้ จากเสียร้อยอาจเสียแค่แปดสิบเก้าสิบ ไม่เหมือนการเล่นกับโต๊ะบอลที่กาแล้วกาเลยตายแล้วตายเลย แก้ตัวไม่ได้เหมือนบอลออนไลน์” นักพนันฟุตบอลออนไลน์ในชุมชนรายหนึ่งบอกเล่ากับ TCIJ
“ไม่ใช่รอเล่นคู่ใหญ่ ๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดามีเวลาว่าง ๆ ก็เล่นได้ คนที่เล่นด้วยกันบางคนตอนนี้ก้มหน้าจิ้มแต่แท็บเล็ตอย่างเดียวแล้ว เพราะทุกวันนี้มีบอลแข่งตั้งแต่ตีห้าจนถึงเช้ามืดอีกวัน แท็บเล็ตมือถือก็อยู่ในมือเราเกือบตลอด อย่าถามว่ารู้จักทีมที่แทงบ้างไหม มันเป็นเรื่องดวงล้วน ๆ ” นักพนันรายนี้กล่าวสรุป
‘หวยใต้ดิน’ ยอดฮิต เศรษฐกิจซบ‘คนเดินโพย’แบกรับความเสี่ยง
ในปี 2556 มีการประมาณการกันว่าคนไทยเล่นหวยใต้ดินถึง 19,923,643 คน ลดลงจากการศึกษาเมื่อในปี 2544 ที่มีการประมาณการว่ามีคนเล่นหวยใต้ดินทั้งประเทศ 23.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 51 ของประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แม้จะมีช่วงหนึ่งที่มีนโยบายนำหวยขึ้นมาบนดินก็ไม่สามารถทำให้หวยใต้ดินหายไปจากสังคมไทยได้ โดยจากข้อมูลในปี 2550 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่รัฐบาลจัดให้มีการซื้อหวยบนดินพบว่าผู้เล่นหวยใต้ดินกับหวยบนดินนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นกลุ่มเดียวกัน
จากการสำรวจชุมชนชนบทกึ่งเมืองใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ช่วงระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2558 โดย TCIJ พบว่ายังมีการเล่นหวยใต้ดินเป็นปกติ ลักษณะการแทงหวยก็ยังคงเป็นการแทงส่งต่อกันเป็นทอด ๆ จาก ผู้แทงหวยใต้ดิน > คนเดินโพย > เจ้ามือรายย่อย > เจ้ามือรายใหญ่ ซึ่งในสภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ‘คนเดินโพย’ ถือว่าเป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงเพราะต้องการรักษาฐานลูกค้าไว้ด้วยการให้แทงก่อนจ่ายทีหลัง (แบบเดียวกันกับในช่วงเศรษฐกิจปกติ) แต่ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา คนแทงหวยมักจะเบี้ยวเงินหรือจ่ายเงินล่าช้า ซึ่งเมื่อถึงเวลาส่งเงินให้เจ้ามือทอดต่อไป คนเดินโพยก็จะต้องชดใช้เงินหรือสำรองจ่ายส่วนนั้น ๆ ให้กับเจ้ามือในลำดับต่อ ๆ ไป รวมทั้งในช่วงเศรษฐกิจซบก็มักจะมีการเปลี่ยนหน้า ‘เข้า-ออก’ วงการของคนเดินโพยสูงมาก คนเดินโพยที่ขาดทุนหลายงวดติดกัน (ถูกเบี้ยวหนี้จากคนแทงหวยใต้ดิน) ก็จะออกจากวงการไป ส่วนคนที่อยากทำเป็นอาชีพเสริมก็จะเข้ามาสู่วงการนี้แทน เพราะรายได้ค่าตอบแทนของคนเดินโพยถือว่าเป็นสิ่งล่อใจพอสมควรคือจะได้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์จากวงเงินการแทงหวยในแต่ละงวด รวมทั้งเปอร์เซ็นต์อีกต่างหากเมื่อมีการถูกรางวัล (จากการสำรวจในพื้นที่เชียงใหม่-ลำพูน) ส่วนเจ้ามือรายย่อยและรายใหญ่มักจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักแม้ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา
(อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับหวยใต้ดินเพิ่มเติมในซีรี่ย์ ‘หวยไม่มีวันตาย’ ของ TCIJ ได้ที่ [1] [2] [3] [4] [5])
คนไทยลืมไปหรือยัง คสช. เคยเข้มงวด 'การพนัน' สุดๆ
ช่วงปี 2557 หลังการทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การปราบปราม ‘การพนัน’ อย่างหนักหน่วง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ คสช. นำมาเรียกคะแนนคนในสังคม โดยได้ออก คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 24/2557 ‘เรื่อง ห้ามให้มีการเล่นการพนันที่ผิดกฎหมาย’ มีเนื้อหาระบุการห้ามให้มีการเล่นพนันที่ผิดกฎหมายโดยเฉพาะบ่อนพนัน ตู้ม้าสลากกินรวบและอื่น ๆ หากพบว่ามีการปล่อยปละละเลยจากผู้รับผิดชอบจะลงโทษทางวินัยและคดีอาญาจนถึงที่สุด คำสั่งนี้ลงนามโดยหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 หลังการรัฐประหารไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็มีปฏิบัติการกวาดล้างการเล่นการพนันรายเล็กรายน้อยอย่างกว้างขวางอยู่พักหนึ่ง ซึ่งมีรายใหญ่บ้างก็ในวงการตู้ม้าไฟฟ้าที่ถูกนำไปโยงว่าเป็น ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่อาจออกมาสร้างสถานการณ์ต่อต้านการรัฐประหาร ปัจจุบันผ่านไปเกือบสองปีแล้วหลังประกาศใช้คำสั่งนี้ สถานการณ์ทางการเมืองไทยเริ่มเข้าสู่การควบคุมของรัฐบาลทหารได้แบบเบ็ดเสร็จ และอุตสาหกรรมการพนันไทยก็ได้เข้าสู่สภาวะปกติแล้วเช่นกัน. |
อ่าน 'จับตา': “5 อันดับการพนันยอดฮิของไทย”
http://www.tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=5940
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ