จับตากฎหมายจีเอ็มโอผ่าน สนช.  ชี้เอื้อบรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ

22 ม.ค. 2558 | อ่านแล้ว 1470 ครั้ง

นักวิชาการ กลุ่มธุรกิจอาหาร เกษตรอินทรีย์ และภาคประชาสังคมจับตาการผลักดันกฎหมายจีเอ็มโอผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เอื้อบรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ หลังคณะทำงานจีเอ็มโอเห็นชอบให้กลับไปใช้มติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2550 ควบคุมการทดลองอย่างเข้มงวด

 

 นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีวิถี ได้แถลงในการประชุมเพื่อวิเคราะห์ “ร่างพรบ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ....” ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน และมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2558 ว่า หลังจาก"คณะทำงานศึกษาแนวทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมและผลิตภัณฑ์มาใช้ใน ประเทศไทย" ได้ประชุมครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกันว่า การทดลองเรื่องจีเอ็มโอนั้นให้กลับไปใช้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่มีเงื่อนไขควบคุมการทดลองจีเอ็มโอในภาคสนามที่เข้มงวด เช่น ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ต้องทดลองในสถานที่ของราชการเท่านั้น ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ องค์กรสาธารณะประโยชน์ และนักวิชาการ และคณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้มีการทดลองเป็นรายกรณีนั้น ทำให้การผลักดันของบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติและกลุ่มผู้สนับสนุนจีเอ็มโอต้องสะดุดลงชั่วคราว กลุ่มดังกล่าวจึงต้องเร่งให้มีการผลักดันพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อใช้เป็นกฎหมายให้มีการบังคับใช้โดยเร็วแทน

“ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกยกร่างขึ้นโดยกลุ่มผู้สนับสนุนเรื่องจีเอ็มโอ การผลักดันกฎหมายนี้ให้ผ่านสนช.ไปโดยเร็วจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ แต่จะไม่ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิเกษตรกร และกลุ่มธุรกิจอาหารท้องถิ่นที่จะได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนทางพันธุกรรรม” นายวิฑูรย์ กล่าว

            ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณะนิติศาสตร์ ม.หอการค้าไทย ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวว่า ยังมีประเด็นที่ควรปรับปรุง เพราะมีหลายข้อที่ไม่สอดคล้องกับหลักการสากลในพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพและพิธีสารเสริมนาโงย่า-กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดใช้ความเสียหาย เช่น กรณีผลกระทบจากกรณีจีเอ็มโอนั้นในพิธีสารครอบคลุมถึงการคุ้มครองผลกระทบทางสังคมเศรษฐกิจ และอนุญาตให้ใช้ดุลพินิจตามสมควรได้แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ในร่างกฎหมายระบุว่าต้องใช้ข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนแล้วเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ควรปรับปรุงร่างกฎหมายในมาตรา 17 โดยควรบัญญัติในลักษณะ ห้ามมิให้มีการผลิตหรือนำเข้าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทุกชนิด เว้นแต่จะได้ประกาศยกเว้นไว้ แทนที่จะเปิดกว้างและควบคุมเฉพาะพืชจีเอ็มโอที่ประกาศเป็นคราวๆ และการกำหนดให้มีการชดเชยความเสียหายเฉพาะกรณีที่มีการปลดปล่อยจีเอ็มโอ นอกบัญชีการปลดปล่อยสิ่งแวดล้อมเท่านั้นเป็นรูปแบบกฎหมายที่อาจขัดกับวัตถุประสงค์ของพิธีสารและไม่ได้คุ้มครองผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากพืชจีเอ็มโอซึ่งได้รับการอนุญาตให้มีการปลดปล่อยต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว

            รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ กรรมการคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน แถลงว่า จากการรับฟังความคิดเห็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ คณะกรรมการอิสระคุ้มครองผู้บริโภคพบว่า การผ่านกฎหมายฉบับนี้ไปโดยเร็วจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ แต่จะเกิดผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมข้าวโพดหวาน เกษตรกรและกลุ่มธุรกิจด้านเกษตรอินทรีย์ และธุรกิจอาหารอีกหลายกลุ่ม รวมทั้งผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้บริโภค “คณะกรรมการฯจะทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เอาไว้ก่อนจนกว่าจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และได้ปรับปรุงเนื้อหาให้คุ้มครองสิทธิของเกษตรกร ผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจต่างๆที่จะได้รับผลกระทบ”

 ทั้งนี้ ผศ.ดร.สมชาย รัตนซื่อสกุล จากคณะนิติศาสตร์ ม.หอการค้าไทย ได้นำเสนอเอกสาร ประเด็นวิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ.... ระบุว่า

 

1.     ร่างมาตรา 6(3) องค์ประกอบของคณะกรรมการในส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ควรเพิ่มเติมกรรมการที่มาจากองค์กรเอกชนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม (NGOs) เพื่อให้เกิดความหลากหลายและถ่วงดุลในคณะกรรมการ และยังสอดคล้องกับหลักการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ตามที่กำหนดใน Biosafety Protocol Article 23

2.     ร่างมาตรา 17 ควรบัญญัติในลักษณะ ห้ามมิให้มีการผลิตหรือนำเข้าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทุกชนิด เว้นแต่จะได้ประกาศยกเว้นไว้ ซึ่งการบัญญัติเช่นนี้จะสอดคล้องกับมาตราอื่นๆ ในร่าง พ.ร.บ. นี้ที่จะบัญญัติในลักษณะห้ามไม่ให้กระทำจนกว่าจะได้รับอนุญาต

3.     ร่างพ.ร.บ. นี้จะให้อำนาจแก่หน่วยงานผู้รับผิดชอบในการกำหนดรายละเอียดของการกำกับดูแล ในลักษณะของกฎหมายลำดับรอง ทั้งที่ควรจะกำหนดรายละเอียดหลักที่สำคัญไว้ล่วงหน้าได้ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้กฎเกณฑ์รายละเอียดของแต่ละหน่วยงานผู้รับผิดชอบเกิดความลักลั่นกัน และอาจทำให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมได้ นอกจากนี้การดำเนินการในทุกขั้นตอนของหน่วยงานผู้รับผิดชอบนั้นยังขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

4.     คณะกรรมการผู้ชำนาญการที่จะพิจารณาคำขอขึ้นบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม (ร่าง พ.ร.บ.มาตรา 41) ควรกำหนดให้มีตัวแทนภาคประชาชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย

5.     การจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกรณีคณะกรรมการผู้ชำนาญการเห็นชอบรายงานประเมินความเสี่ยง (ร่างพ.ร.บ.มาตรา 43) โดยผู้ยื่นคำขอขึ้นบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมเอง อาจเกิดปัญหาในการจัดการรับฟังความคิดเห็น และทำให้ไม่ได้รับทราบความเห็นที่แท้จริง จึงควรให้หน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นกลางอื่นเป็นผู้จัดการรับฟังความคิดเห็น

6.     ผลการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 43 จะถูกนำไปประกอบการพิจารณาโดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบเท่านั้น  (ร่าง พ.ร.บ.มาตรา 44) และหน่วยงานผู้รับผิดชอบไม่จำเป็นต้องรับฟังหรือปฏิบัติตามผลการรับฟังความคิดเห็นก็ได้  

7.     การพิจารณาความปลอดภัย หรืออันตรายที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมใช้เฉพาะข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน และต้องเกิดอันตรายหือความเสียหายขึ้นแล้วเท่านั้น (ร่าง พ.ร.บ.มาตรา 35,46) ถือว่าขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายแคบเกินไป ทั้งที่ Biosafety Protocol อนุญาตให้ใช้ดุลพินิจตามสมควรได้แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ รวมทั้งสามารถใช้เหตุผลทางด้านสังคมเศรษฐกิจ (Socio-Economic consideration) ได้ด้วย (Biosafety Protocol Art,11.8, 26)

8.     ร่าง พ.ร.บ.นี้ใช้บัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมเป็นกลไกในการบริหารจัดการ โดยหากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยฯ ก่อให้เกิดความเสียหาย ร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ได้กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยกำหนดให้ต้องมีการรับผิดเฉพาะกรณีความเสียหายเกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยเท่านั้น (ร่าง พ.ร.บ.มาตรา 52) ซึ่งรูปแบบการกำหนดแยกประเภทสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่และไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยนั้นเป็นรูปแบบที่ไม่ปรากฏใน Biosafety Protocol หรือ Nagoya-Kuala lumpur Supplementary Protocol ดังนั้นการไม่กำหนดให้ต้องมีการรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยจึงอาจขัดกับวัตถุประสงค์ของ Biosafety Protocol และ Nagoya-Kuala lumpur Supplementary

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: